เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เข็มนาฬิกาจะเดินเข้าสู่ 15.00 น. วันที่ 29 สิงหาคม วินาทีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดี “คลิปเสียง–แพทองธาร” คดีที่ถูกมองว่าอาจ “เขย่าเส้นเลือดใหญ่การเมืองไทย” ให้สั่นสะเทือนทั้งระบบ บทสนทนาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ถูกลากเข้าสู่ข้อกล่าวหา “ละเมิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง” หากศาลชี้ว่าผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 160 — เพียงหนึ่งคำวินิจฉัย ศาลสามารถ “เด็ดหัวเฉพาะตัว” ให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ทันที
นี่ไม่ใช่แค่คดีธรรมดา แต่มันคือ เส้นแบ่งอำนาจ ระหว่าง “อยู่” หรือ “ไป” ของตระกูลชินวัตร และยังเป็นจุดชี้ขาดว่า “ขั้วอำนาจ” ฝั่งไหนจะควบคุมประเทศในเกมต่อไป
แม้เพิ่งได้แรงหนุนเชิงสัญลักษณ์จากศาลอาญาที่ยกฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” ในคดีมาตรา 112 เมื่อ 22 สิงหาคม แต่เงื่อนปมทางการเมืองไม่ได้คลี่คลาย ตรงกันข้าม ความกดดันกลับถาโถมรอบด้าน และชะตาการเมืองไทย ณ วันนี้ ถูกผูกติดโดยตรงกับ “ผลลัพธ์ของแพทองธาร”
หากแพทองธาร “รอด” รัฐบาลเพื่อไทยและพรรคร่วม 11 พรรคที่มีเสียงรวม 256 เสียง ยังเดินเกมต่อได้ แต่จะต้องอยู่ใน “สมรภูมิความกดดัน” ที่เดือดระอุกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะฝ่ายค้านพร้อม “ขยี้ซ้ำ” ทันทีด้วยญัตติไม่ไว้วางใจมาตรา 151 หรืออภิปรายทั่วไปมาตรา 152 เพื่อเขย่าฐานอำนาจในสภาให้สั่นสะเทือน รัฐบาลต้อง “คุมเสียง” ให้เหนียวแน่นกว่าทุกครั้ง เพราะแค่เสียงเดียวแตกแถว วาระสำคัญระดับประเทศอาจล่มกลางสภา ขณะเดียวกัน “ระเบิดเวลา” จากคดี ป.ป.ช. เกี่ยวกับนโยบาย เงินดิจิทัล 10,000 บาท ยังคงนับถอยหลังไม่หยุด
แต่ถ้าศาลชี้ว่าแพทองธาร “ไม่รอด” ทุกอย่างจะรีเซ็ตแบบถอนรากถอนโคน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลงทันที และรัฐสภาต้องเลือกนายกฯ จาก บัญชีแคนดิเดต ที่ยื่นไว้ พรรคเพื่อไทยเตรียมส่งชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” ขึ้นชิงเกมในฐานะ “นายกฯ ชั่วคราว” เพื่อปูทางสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน แต่ปัญหาใหญ่คือรัฐบาลจะเข้าสู่สภาพ “ปริ่มน้ำ” เต็มรูปแบบ พรรคร่วมรัฐบาลจะกลายเป็น “ตัวแปรต่อรอง” ที่มีอำนาจสูงสุด และโอกาส “ดีลลับ” เปลี่ยนขั้วกลางเกมก็มีอยู่ทุกเสี้ยววินาที
ฟากพรรคภูมิใจไทยของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กำลังเฝ้ารอโอกาสหงายไพ่ใหม่ หากจับมือกับ พรรคประชาชน (ทายาทก้าวไกล) ที่มีราว 143 เสียง บวกกับภูมิใจไทย 69 เสียง และพลังประชารัฐอีก 20 เสียง จะได้ฐานเสียงประมาณ 232 เสียง หากดึง ประชาธิปัตย์ (25 เสียง) หรือ รวมไทยสร้างชาติ (36 เสียง) มาสมทบบางส่วน “อนุทิน” อาจถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้จริง แต่เกมนี้เสี่ยงแตกหักขั้นสูง เพราะจะต้องจับมือ “ส้ม” ข้ามสีการเมืองเดิม และแรงกดดันจากฐานเสียงอนุรักษ์อาจผลักเกมนี้ให้ ยุบสภา เร็วกว่าที่คิด
เหนือสิ่งอื่นใด ยังมีแนวคิด “ทางสายกลาง” กำลังก่อตัวหลังฉาก หากเพื่อไทยจับมือกับภูมิใจไทยอีกครั้ง แล้วผลักดันชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งยังอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมาเป็น “นายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล” เพื่อประคองประเทศเข้าสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว นี่คือ “สูตรอำนาจแบบผสม” ที่หลายฝ่ายเริ่มพูดถึง แม้จะเต็มไปด้วยกับดักต่อรองที่ไม่มีขอบเขต
และยังไม่หมดแค่นั้น เสียงกระซิบที่ดังขึ้นทุกวันคือ “สูตรลับนายกฯ มาตรา 5” หากเกิดสุญญากาศจนเลือกนายกฯ จากบัญชีเดิมไม่ได้ เกมอาจถูกหักไปสู่ “นายกรัฐมนตรีนอกบัญชี” ที่ไม่ได้อยู่ในสมการใด ๆ ทั้งสิ้น — ฉากทัศน์ที่พร้อมพลิกเกมการเมืองไทยให้เหนือการคาดเดาแบบสุดขั้ว
29 สิงหาคมนี้ ไม่ได้เป็นเพียงวันตัดสินคดี “คลิปเสียง” แต่มันคือวันตัดสินอนาคตอำนาจของประเทศ เสียงคำวินิจฉัยอาจดังเพียงไม่กี่บรรทัด แต่แรงสั่นสะเทือนจะก้องไปทั้งสภา ทั้งทำเนียบรัฐบาล และทั้งประเทศ เรากำลังยืนอยู่บนปากเหวทางการเมืองที่พร้อมถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
นี่คือ เส้นตายแห่งอำนาจ วันที่การเมืองไทยจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป