เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 ส.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ชิงปิดประชุม” ก่อนการพิจารณาญัตติด่วนเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลง (MOU) ปี 2543 และ 2544 ที่เสนอโดยนายสฤษฏ์พงศ์ พงศ์เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย

นายไชยา กล่าวว่า ในวันดังกล่าวตนได้รับแจ้งจากวิปรัฐบาลว่า หลังตอบกระทู้ถามแล้ว จะเข้าสู่การรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมี 4–5 หน่วยงาน แต่มีเพียงกองทุนสื่อสร้างสรรค์ที่พร้อมรายงาน เมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณาและไม่ได้รับสัญญาณอื่น จึงเข้าใจว่าการประชุมสิ้นสุดแล้ว และได้ประกาศปิดประชุม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเจตนาล้มการพิจารณาญัตติด่วน

เขากล่าวต่อว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าฝ่ายค้านจะเสนอญัตติด้วยวาจา และเพิ่งมาทราบหลังปิดประชุม หากเป็นความผิดพลาดด้านการสื่อสารจนทำให้สังคมไม่สบายใจ ตนต้องขอโทษ พร้อมย้ำว่า เวทีสภาควรใช้เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ ไม่ใช่กลายเป็นเวทีขัดแย้งทางการเมือง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสที่มองว่าเหตุชิงปิดประชุมเป็นเพราะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ นายไชยา ชี้ว่า ความราบรื่นขึ้นอยู่กับการประสานงานของวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน ยกตัวอย่างเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ทั้งสองฝ่ายตกลงจะพิจารณากฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ระบบรางฯ และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ แต่เนื่องจากการพิจารณา พ.ร.บ.ระบบรางฯ ใช้เวลามากถึง 165 มาตรา ทำให้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ ไม่แล้วเสร็จ และตนเองนั่งบัลลังก์ต่อเนื่องนานกว่า 10 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน จนเกิดความเหนื่อยล้า

“ผมก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่โรบอตที่จะนั่งได้โดยไม่พัก วันนั้นผมขึ้นบัลลังก์ 3 รอบ สมาชิกเองก็เหนื่อยเช่นกัน” นายไชยา กล่าว

สำหรับเสียงวิจารณ์ว่า การปิดประชุมเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล นายไชยา ยอมรับว่าเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล แต่ขอให้มองว่ากฎหมายทุกฉบับเกิดจากการระดมความคิดเห็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญ เมื่อออกมาใช้แล้วกระทบประชาชนทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล

เขาทิ้งท้ายว่า ไม่อยากให้สังคมมองว่าตนเป็นเครื่องมือทางการเมือง แม้จะมาจากพรรคเพื่อไทย แต่ในฐานะรองประธานสภาฯ ต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง และพร้อมรับคำตำหนิจากทุกฝ่าย โดยย้ำว่า “เครดิตทางการเมืองของผมขึ้นอยู่กับประชาชน ไม่ใช่ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล”