วันที่ 23 ส.ค.2568 ที่รัฐสภา นายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีที่สั่งปิดการประชุมสภาก่อนพิจารณาญัตติ MOU 2543-2544 โดยยืนยันว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลจากการประสานงานที่ผิดพลาด ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทางการเมืองอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะตนได้รับการแจ้งว่าหลังจากการพิจารณากระทู้ถามสดแล้วให้เข้าสู่วาระรับทราบรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งในวันนั้นมีเพียงรายงานจากกองทุนสื่อสร้างสรรค์ที่พร้อม หลังจากนั้นก็ได้รับแจ้งให้ปิดประชุมได้ทันทีหากไม่มีวาระอื่นต่อ ทำให้ตนเข้าใจว่าไม่มีเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อ จึงได้สั่งปิดการประชุมตามที่ได้รับประสานมา
“ในฐานะประธาน ผมไม่ได้รับทราบเลยว่ามีการเสนอญัตติด้วยวาจา เพราะการประสานงานไม่ได้มาถึงบัลลังก์ แต่ผมเห็นประธานวิปฝ่ายค้าน และวิปรัฐบาลพูดคุยกันบ่อยครั้ง และก็รอสัญญาณอยู่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่กลับไม่ได้รับการประสานงานมา จึงคิดว่าไม่มีวาระอะไรต่อไปแล้ว จึงสั่งปิดประชุมตามข้อตกลงเดิม ยืนยันว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง” นายไชยา กล่าว
นายไชยา กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่ถูกมองว่าเป็นการปิดประชุมเพื่อหนีปัญหา และยืนยันว่าถึงแม้จะมาจากพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อมาทำหน้าที่ประธานก็มีความสำนึกในหน้าที่และทำงานอย่างเป็นกลาง เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิจากทั้งสมาชิกและประชาชนผู้ติดตาม
รองประธานสภาคนที่ 1 ยังได้กล่าวถึงการทำงานของสภาว่า ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่นหากขาดความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย พร้อมขอให้สมาชิกทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลไม่มองเวทีสภาเป็นเพียงเรื่องของการเมืองมากเกินไป แต่ควรเป็นเวทีเพื่อการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ
“อยากจะเรียกร้องว่างานสภาไม่สามารถราบรื่นได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือ ไม่อยากให้สมาชิกใช้กลไกสภาและมองเป็นเรื่องการเมืองมากเกินไป อยากให้เวทีสภาเป็นเวทีของการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” นายไชยากล่าว และย้ำว่าการประชุมที่ผ่านมาไม่ราบรื่น เพราะวิปทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ โดยเฉพาะในประเด็นการตั้งกรรมาธิการในญัตติ MOU ซึ่งมีการเจรจากันถึง 5 รอบแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
นายไชยา ยอมรับว่ารู้สึกไม่สบายใจที่ถูกตำหนิเรื่องการสั่งปิดประชุม และได้กล่าวขอโทษหากทำให้สังคมรู้สึกไม่พอใจ แต่ยังคงยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความผิดพลาดในการสื่อสาร และวอนให้วิปทั้งสองฝ่ายหันหน้าคุยกันและยอมถอยคนละก้าว เพื่อให้งานสภาขับเคลื่อนต่อไปได้