กระฉ่อนดีลเปลี่ยนแปลก ลือตระกูลชินวัตรรอดคดีหมด คาดคดีคลิปหลุดและชั้น 14 โอกาสรอดกับไม่รอดเบียดกันสูสี 50 ต่อ 50 ระบุภาษากายพ่อ-ลูกตระกูลชินฯ มั่นใจ ส่อเดินลุยไฟไปศาลทั้ง 29 ส.ค. และ 9 ก.ย. ชี้สถานการณ์ผิดปกติ ผลคดีทุกทางย่อมเกิดขึ้นได้ อ้างยังมีช่องทางอื่นใดใช้ดุลยพินิจหลบเลี่ยงได้
เมื่อ 22 ส.ค. 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยระบุข่าวลือดีลอภิสิทธิ์ชนเจรจาให้รอดทั้ง 3 คดี ซึ่งมีคดีคลิปเสียงที่ศาล รธน.จะวินิจฉัยวันที่ 29 ส.ค. และคดีชั้น 14 ศาลฎีกานักการเมืองมีกำหนดอ่านคำตัดสิน 9 ก.ย.นี้ ส่วนคดี ม.112 ของทักษิณ ชินวัตร ศาลอาญาชั้นต้นตัดสินยกฟ้องไปแล้วเมื่อ 22 ส.ค.
เมื่อทักษิณ รอดคดี ม.112 โดยศาลอาญายกฟ้องเหตุคลิปสัมภาษณ์นักข่าวเกาหลีใต้ในปี 2558 ถูกตัดต่อ และอัยการไม่มีคลิปฉบับเต็มมาเป็นหลักฐานยืนยันคำฟ้องในชั้นศาล จึงเป็นเหตุสำคัญให้ศาลยกคำฟ้อง
รวมทั้งอัยการให้ปากคำต่อศาลไม่ประสงค์จะฟ้องคดีมาตั้งแต่ต้น ซึ่งสะท้อนว่าการฟ้องคดีทักษิณ ม.112 เกิดจากแรงกดดันของสังคม ดังนั้น อัยการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่จึงต้องติดตาม
อย่างไรก็ตาม ทักษิณ คงยื่นขอศาลถอนคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และให้คืนหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ที่ยึดไว้ ซึ่งไม่รู้ว่า ทักษิณใช้หนังสือเดินทางประเทศไทยหรือของประเทศใด แต่สิ่งสำคัญเมื่อพ้นพันธนาการคดี ม.112 แล้ว ย่อมเป็นอิสระและมีเสรีเดินทางไปประเทศใดทั้งโลกได้
ส่วนนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของทักษิณ ยืนยันว่า ทักษิณ ไม่เคยหนีคดีชั้น 14 และจะเข้าฟังคำตัดสินของศาลฎีกานักการเมืองวันที่ 9 ก.ย.แน่นอนนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เอาเถอะไม่หนีก็ไม่หนี เอาที่สบายใจ แต่ 17 ปีที่อยู่ต่างประเทศถือว่าไปธุดงค์แล้วกัน
"ส่วนวันที่ 9 ก.ย. จะมาศาลหรือไม่ อะไรก็เกิดขึ้นได้กับเหตุการณ์ครั้งหน้า กระทั้งคดีนายกฯ อุ๊งอิ๊ง มีโอกาสรอด (คดีคลิปเสียงในศาล รธน.) ก็เป็นไปได้ หรือทักษิณ ไปฟังคำพิพากษาวันที่ 9 ก.ย. ซึ่งนาทีนี้ก็เป็นไปได้แล้ว"
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ต้องติดตามและวิเคราะห์แต่ละบริบทเหตุการณ์ เพราะเมื่อประเมินยังมีช่องทางอื่นใดตามดุลยพินิจหลบเลี่ยงได้อยู่ ดังนั้น โอกาสนายกฯ อุ๊งอิ๊ง รอดคดียัง 50 ต่อ 50 แต่สิ่งน่าติดตามคือ จะบริหารบ้านเมืองต่อหรือไม่
สิ่่่งสำคัญเรื่องราวที่ทักษิณ เดินทางกลับไทยครบ 2 ปีในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งยังเต็มไปด้วยดีล หากไม่มีดีลตำแหน่ง รมว.กลาโหม คงตั้งไปแล้ว แต่ยังปล่อยเว้นว่างรออดีตทหารใหญ่บ้างคนได้ในยามเกิดสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นสถานการณ์หนึ่งชี้ถึงความผิดปกติ
"ถ้าดูภาษากายและการแต่งตัวแล้ว แสดงถึงความมั่นใจ ซึ่งย่อมไม่ธรรมดา แต่ในอนาคตจะมีจุดจบไม่ธรรมดาหรือไม่ หรืออภิสิทธิ์ชนจะมีจุดจบเช่นใด อย่างไรก็ตามยังเหลือคดีอีก 2 คดี แต่ถ้ารอดทั้ง 3 คดีแล้วประชาชนต้องคิดอ่านกัน เพราะหลายเรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างปกติ"
พร้อมประเมิน 2 ทางลือกน่าจะเป็นในคดีศาล รธน.ว่า ถ้าคำตัดสินในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ศาลให้รอดคดี และหากนายกฯ ลาออก ซึ่งไม่สมเหตุสมผลนัก แต่สิ่งที่เป็นไปได้คือ ทักษิณมีเวลามากพอจะปรับ ครม. แล้วอำนาจการต่อรองของพรรคร่วมจะสูงขึ้นกว่าเดิมตามด้วย
อีกทางเลือกหนึ่ง คือ หากนายกฯ อุ๊งอิ๊งจบแบบไม่สวย พรรคร่วมทำท่าจะวงแตก กระแสการย้ายข้างของ สส.เพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลจะปรากฎขึ้น ขณะที่มีเรื่องแปลกกรณีสภาจะพิจารณาญัตติยกเลิก MOU 43 และ 44 แต่ประธานในที่ประชุมสั่งปิดการประชุมอย่างมึนเฉย ทั้งที่ สส.อยู่ครบองค์ประชุม
"อยากสื่อความไปถึงซึกรัฐบาลว่า ยุคหนึ่งสภาถูกตั้งฉายาว่า สภาทาส ซึ่งเป็นสภาที่อยู่ภายใต้อาณัติ อาจหลีกเลี่ยงการรัฐประหาร แต่ขณะนี้รัฐบาลและสภายั่วเหลือเกินทั้งที่ประชาชนไปยื่นไมตรี ก็ไม่เลือกช่องทางนี้กลับอ้างนายกฯ ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่”
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลยังมีรักษาการนายกฯ ทำหน้าที่ได้ ดังนั้น ควรแสดงถึงการร่วมปกป้องอธิปไตยของชาติ สร้างพลังเป็นหนึ่งเดียว แต่นักการเมืองไม่คิดไกลเกินตัวเอง คิดแต่การหาเสียงและเพื่อดำรงอยู่ แล้วปัดมือยื่นไมตรีของประชาชนออกไปโดยใช้วิธีการปิดประชุมสภา ซึ่งเป็นพฤติกรรมไม่ควรทำเลย