แหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนตะวันตก ของด้านจังหวัดตากว่า ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงกำลังจับตา กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force-Karen -BGF) ซึ่งได้เปลี่ยนเป็นองค์กร กองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Army-KNA) โดยหตุผลว่า เพื่อเป็นการปลดแอกจากรัฐบาลทหารพม่าเพราะจะไม่รับเงินเดินในฐานะกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF อีกต่อไป
แหล่งข่าวกล่าวว่า โดยผู้นำ BGF ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อองค์กรเป็น KNA ตั้งแต่ต้นปี 2567 แต่ได้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่เพื่อยึดเมืองเมียวดี ทำการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งนั้นถูกเลื่อนออกไป โดยมีทางการจีนเข้ามาช่วยประสานระหว่างกองทัพเมียนมากับแกนนำ BGF เนื่องจากหวั่นเกรงว่าหาก BGF เปลี่ยนแปลงชื่อองค์กรเท่ากับตัดขาดจากรัฐบาลทหารเมียนมา เพราะการเป็นกองกำลัง BGF นั้นรัฐบาลทหารพม่าเป็นคนแต่งตั้งและให้เงินเดือนแม้ในความเป็นจริงก็แทบไม่มีเงินเดือนให้ก็ตาม และ BGF ก็มีรายได้ที่ดีกว่ามาก จากเขตเศรษฐกิจพิเศษชเวโก๊กโก่ และ KK ปาร์ค ทั้งรายได้บนดินและใต้ดินจำนวนมหาศาล
ซึ่งถ้าBFG ปรับองค์กรเป็น KNA เท่ากับแตกหักกับกองทัพพม่า และมีแนวโน้มมาอยู่กับฝ่ายกองกำลังกะเหรี่ยงคือ KNU ก็จะทำให้ยุทธศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนแถบนั้นเปลี่ยนไป คือแทบทั้งหมดเป็นของกะเหรี่ยงและปลอดอำนาจรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลทหารพม่ายอมไม่ได้ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้ BGF เปลี่ยนแปลงองค์กรโดยให้จีนเข้ามาช่วยเจรจา แต่ดูเหมือนเที่ยวนี้ ผู้นำกะเหรี่ยง BGF จะไม่ยอมอีกแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 Karen Information Center -KIC ได้รายงานว่าทหารจำนวน 520 นาย ได้สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรทหารขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 19/2025 ซึ่งจัดโดย ภายใต้การนำของกองกำลังเขตทหารที่ 2 การฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 3 เดือน ในพื้นที่ควบคุมของ BGF/KNA และในพิธีปิดการฝึกได้มีการ มอบอาวุธให้แก่ทหารใหม่ทุกนาย โดยพล.ต. ซอตินวิน ผู้บังคับการกองกำลังเขตที่ 2 กล่าวในพิธีว่า เป้าหมายหลักคือการสร้างประเทศชาติที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ เรามีหน้าที่ปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน ไม่ว่ากะเหรี่ยงหรือพม่า เราไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ ทุกชนเผ่ามีหน้าที่ร่วมกันในการพัฒนาพื้นถิ่นของเรา”พล.ต.ซอติดวิน กล่าว
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง BGF ได้ตัดสินใจ ไม่พึ่งพาเบี้ยเลี้ยงจากกองทัพพม่า และหันมาเปลี่ยนโครงสร้างเป็น KNA เพื่ออยู่ได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันมีการจัดตั้งกองกำลัง 4 เขต และกองพันตั้งแต่หมายเลข 1011 ถึง 1023 รวมทั้งหมด 13 กองพัน ที่เคลื่อนไหวอยู่ในรัฐกะเหรี่ยงเขตชายแดนเมียวดี
โดยก่อนปี 2567 กำลังพลของ BGF/KNA มีเพียงหลักพัน แต่ในปัจจุบัน นักวิเคราะห์ประเมินว่ามีกำลังพลถึงหลักหมื่น แล้ว
ก่อนหน้านี้ ได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนโครงสร้าง BGF ไปเป็น กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ซึ่งได้รับการสนับสนุนและความเห็นชอบจากพรรคการเมืองกะเหรี่ยง ทั้งคณะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ รวมถึงผู้รับผิดชอบระดับหมู่บ้านจากหลายอำเภอในรัฐกะเหรี่ยง การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้ชื่อ “การประชุมเพื่อสันติภาพ ความมั่นคง และความสามัคคีในรัฐกะเหรี่ยง” โดยมีผู้นำระดับสูงของ BGF เข้าร่วม ได้แก่ พลเอก ซอทุนไล่ ประธาน BGF, พล.ต. ซอชิตตู่, พล.ต. ซอตินวิน, และ ซอมุตถุน
ทั้งนี้ พล.ต. ซอตินวิน ผู้บังคับการกองกำลังเขต 2 ของ BGF ได้แจ้งในที่ประชุม ว่าที่ประชุมได้รับความเห็นชอบจากพระสงฆ์ส่วนใหญ่ พรรคการเมืองกะเหรี่ยง และผู้ใหญ่บ้านจากอำเภอหลายแห่ง ซึ่งพระสงฆ์และผู้ใหญ่บ้านส่วนใหญ่เห็นชอบให้เปลี่ยนเป็น KNA มีเพียงพระไม่กี่รูปที่แสดงความกังวลว่าจะเกิดการสู้รบและประชาชนต้องรับภาระ แต่โดยรวมแล้ว ทุกฝ่ายสนับสนุน การเปลี่ยนแปลง ให้เกิดองค์กร กองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Army-KNA) อย่างแน่นอน