ในวันที่ 24 สิงหาสิงหาคม 2568 คณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งนายกสภาทนายความและกรรมการบริหารสภาทนายความและกำหนดให้เป็นเลือกตั้งนายกสภาสภาทนายความและกรรมการบริหารสภาทนายความชุดใหม่แทนชุดเก่าที่หมดวาระในวันที่ 14 กันยายน 2568 

ซึ่งในวันที่ 24 สิงหาคมทนายความทั่วประเทศที่มี ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ มีสิทธิ ในการเข้าคูหาการคะแนนเลือกผู้สมัครนายกสภาทนายความ และกรรมการบริหารสภาทนายความที่ตนเองชื่นชอบโดยวิธีการลงคะแนนลับ 

หากเป็นทนายความที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร สถานที่เลือกตั้งคือที่สภาทนายความ ถนนพหลโยธินส่วนในต่างจังหวัดทนายความ สามารถไปเลือกตั้งได้ที่ศาลจังหวัดตามภูมิลำเนาของสำนักงานทนายความที่ตั้งที่ปรากฏอยู่บนหลังบัตรทนายความ 

โดยเริ่มลงคะแนนเวลา 9.00 น. ถึงเวลา 15.00 น.  ซึ่งจะทราบผล อย่างไม่เป็นทางการไม่น่าจะเกินเวลา 21:00 น. ซึ่งมีผู้ประกาศในการประกาศชิงชัยอาสาสมัครเป็นนายกสภาทนายความ จำนวน 10 ราย แต่ผู้เป็น ตัวเต็งคว้าเก้าอี้ นายกสภาในครั้งนี้มีเพียง 3 ทีม             

ทีมแรกเรียกว่าเป็นเต็งหนึ่งในการชิงชัยครั้งนี้คือทีมของ ดร. ธนพล คงเจี้ยง หรือ ดร.นพ นายกสมาคมนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ท้าชิงหน้าใหม่ เบอร์ 4 ขึ้นชื่อในเรื่องไฟแรง มีนโยบายหาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดุดันซึ่ง ดร. ธนพล มีจุดเด่นในเรื่องบทความ และนโยบายที่ดูทันสมัยรวมถึงทีมที่มีการเตรียมความพร้อมเดินสายอบรมวิชาการจัดกิจกรรมต่างๆมาตลอดช่วง หลายปีก่อนที่จะจะมีการเลือกตั้งครั้งนี้  

รวมถึงยังมีคณะทำงานที่เป็นทนายความที่มีชื่อเสียงหลายท่านที่มีความพร้อมซึ่งมีฐานเสียงเดิมที่แยกออกมาจากผู้สมัครของทีม ดร. วิเชียร ชุบไธสง     จำนวนหลายท่าน เช่น นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายสภาทนายความ นายชัยวัฒน์ บุญเกื้อ นายทะเบียนสภาทนายความ นายสฤษดิ์ เจียมกมล เหรัญญิกสภาทนายความ ดร.ชัยชีพ ชโลปถัมภ์ กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ  นายฉัตรประพล แย้มเพริศศรี กรรมการบริหารสภาในความภาค 1  

อีกทั้งยังมี นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา อดีตเลขาธิการสภาทนายความสองสมัยซึ่งในวาระปี2565 ได้ลงสมัคร ในฐานะชิงตำแหน่งนายกสภาทนายความ เข้ามาร่วมทีมกับ ดร.ธนพล  นอกจากนี้ยังมี ดร.พีรภัทร ฝอยทอง และนายวิสุทธิ์ พุฒพวง ซึ่งเป็นคนหนุ่มไฟแรงและเป็นฐานเสียงหลัก ของนายนันทน อินทนนท์ ซึ่งลงชิงตำแหน่งนายกสภาทนายความในวาระ 2565 อีกทั้งมี ดร.วิภาต อภิปาลกุลดำรง กรรมการอำนวยการฝึกอบรม สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของ ดร. สมบัติ วงษ์คำแหง ผู้สมัครนายกสภาความในวาระ 2565 เข้ามาร่วมเป็นคณะทำงานของ ดร.ธนพล คงเจี้ยง และยังมีนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความรุ่นใหม่อีกคนหนึ่งเข้ามาเสริมทีมโดยมาเป็นเลขาธิการศูนย์อำนวยการเลือกตั้งของคณะ ดร.ธนพล คงเจี้ยง 

เห็นได้ว่าคะแนนที่คณะ ดร.ธนพล คงเจี้ยง จะได้เลือกตั้งในครั้งนี้เมื่อทีมสื่อวิเคราะห์นั้นจากการที่คณะดร.ธนพล  เดินสายจัดอบรมวิชาการและจัดกิจกรรมต่างๆมาโดยตลอดเป็นช่วงเวลาหลายปีทำให้เกิดความใกล้ชิดกับพี่น้องทนายความเป็นจำนวนมาก และยังมีฐานเสียงไปด้วย

ทนายความรุ่นใหม่ต้องการให้ ดร. ธนพลเข้ามาบริหารองค์กร ทำให้โอกาสของคณะ ดร.ธนพล คงเจี้ยง มีโอกาสสูงมากในการที่จะได้รับชัยชนะเป็นอันดับ1 ประกอบกับนโยบายที่ทันสมัยโดนใจและเข้าถึงพี่น้องทนายความทุกคน      

         

ส่วนทีมของคณะดร.วิเชียร ชุบไธสง ผู้สมัครนายกสภาทนายความเบอร์ 3 แชมป์เก่านั้น ซึ่งเคยให้นโยบายไว้กับพี่น้องทนายความทั่ว ประเทศในปี 2565 เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฎว่าไม่ได้ทำตามนโยบายที่ให้ไว้กับทนายความเป็นเหตุให้คะแนนนิยมของดร.วิเชียร ลดลงประกอบกับผู้สมัครกรรมการบริหารชุดเดิมจำนวนหลายท่านได้ย้ายไปอยู่กับ ดร.ธนพล ผู้สมัครนายกสภาทนายความเบอร์4 เป็นเหตุให้ฐานเสียงคะแนนหลักของ ดร.วิเชียร หายไปเป็นจำนวนหลายพันคะแนน                                            
ส่วนทีม ดร.ถวัลย์ รุยาพร อดีตนายกสภาความ 2 สมัย ผู้สมัครเบอร์2  นั้นปรากฎว่าเดิม ดร.ถวัลย์เป็นคนช่วยพา ดร.ธนพล ผู้สมัครเบอร์4 เดินกรุยทางหาเสียงมาเป็นเวลานาน ทำให้ฐานเสียงของดร.ถวัลย์ กลับไปสนับสนุน ดร.ธนพล เนื่องจากเห็นความตั้งใจ ความมุ่งมั่น ที่จะเข้าบริหารองค์สภาทนายความให้มีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น 

ประกอบกับทีม ดร.วิเชียร ไม่ได้ทำงานตามนโยบายที่ให้ไว้เป็นที่ประจักษ์กับพี่น้องทนายความ  ทำให้ท้ายสุดแล้ว 3 ทีมนี้  ทีมดร.ธนพล คงเจี้ยง ที่รวบรวมทนายความที่มีชื่อเสียงทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลาง และรุ่นใหม่ เข้ามาอยู่รวมกันกับฐานเสียงที่มีอยู่เดิมของทนายความรุ่นเก่า รุ่นกลาง และทนายความรุ่นใหม่ จึงมีโอกาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้สูง