หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ จากผู้ให้ความหวังสู่ดรามาที่สังคมจับตา
หากเอ่ยถึงพระนักพัฒนาและผู้ทุ่มเทเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์ในเมืองไทย ชื่อของ “หลวงพ่ออลงกต ติกขปัญโญ” ย่อมเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ หลวงพ่ออลงกต เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2501 ที่จังหวัดสระบุรี ก่อนอุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี และได้ศึกษาธรรมะจนแตกฉาน ต่อมาจำพรรษาที่วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี
ช่วงปี 2530–2540 ประเทศไทยเผชิญวิกฤตโรคเอดส์ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากถูกสังคมรังเกียจ ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่ง หลวงพ่ออลงกตจึงตัดสินใจเปิดวัดพระบาทน้ำพุเป็น “บ้านหลังสุดท้าย” ให้ผู้ป่วยได้อาศัยอยู่ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นับแต่นั้นวัดแห่งนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการโอบอุ้มผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์
ภาพของพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ยื่นมือเช็ดแผล กอดผู้ป่วย และทำพิธีศพให้คนไร้ญาติ กลายเป็นภาพทรงจำที่สะเทือนใจคนไทยอย่างยิ่ง วัดพระบาทน้ำพุยังจัดตั้งโครงการระดมทุนหลายรูปแบบ ทั้งตู้บริจาค กล่องรับเงินตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงกิจกรรมการกุศลต่าง ๆ เพื่อนำเงินไปเลี้ยงดูผู้ป่วยที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันวัดต้องแบกรับค่าใช้จ่ายวันละหลายแสนบาท ทำให้หลวงพ่ออลงกตยังคงออกมาขอรับบริจาคต่อเนื่อง
แม้จะได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงเสียงวิจารณ์เรื่องความโปร่งใสทางการเงิน โดยเฉพาะเมื่อโซเชียลมีเดียตั้งคำถามว่าเงินบริจาคที่มีจำนวนมหาศาลถูกบริหารจัดการอย่างไร ขณะเดียวกัน การปรากฏภาพหลวงพ่อเดินทางไปต่างประเทศและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกมองว่า “หรูหรา” ยิ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรง
ฝ่ายผู้ศรัทธายังยืนยันว่า หลวงพ่ออลงกตคือผู้เสียสละที่ทำงานเพื่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง แต่อีกฝ่ายกลับตั้งคำถามว่า ความศรัทธาจะต้องควบคู่กับความโปร่งใสด้วย ดรามาล่าสุดทำให้หลายฝ่าย รวมถึงสื่อและนักวิชาการ หันกลับมาจับตาและตรวจสอบการบริหารจัดการภายในวัดพระบาทน้ำพุ
แม้หลวงพ่ออลงกตจะออกมาชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายต่อวันสูงเกินกว่าจะหยุดรับบริจาค และทุกบาททุกสตางค์ถูกใช้เพื่อผู้ป่วย แต่ความไม่ไว้วางใจในโลกออนไลน์ก็ยังคงแพร่กระจาย ภาพลักษณ์ “พระผู้เสียสละ” จึงถูกท้าทายด้วยคำถามแห่งความโปร่งใส
เรื่องราวของหลวงพ่ออลงกตจึงไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์แห่งการช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญต่อสังคมไทย ว่าศรัทธาและความโปร่งใส ต้องเดินไปด้วยกันเสมอ