เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานแสนนานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยวงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ที่ดูแลประชาชนในการเดินทางด้วยระบบรางไปยังจังหวัดจต่างๆ ทั่วประเทศ โดยในเวลานี้หน่วยงานการรถไฟฯ กลับมีหนี้ท่วมตัวกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ก็ยังคงต้องกัดฟันให้บริการประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ในการหาแนวทางในแก้ไขปัญหาหนี้ของการรถไฟฯ กว่า 3 แสนล้านบาท นั้นที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไข อาทิ การยกค่าเช่าที่ดินของการรถไฟฯที่ บมจ.ปตท. เช่าอยู่ที่บริเวณถนนวิภาวดี และการขยายระยะเวลาเช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บนพื้นที่ห้าแยกลาดพร้าว เป็นต้น

ล่าสุดกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ได้ร่วมกับ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต จัดสัมมนาเรื่อง “โครงการรายงานผลการศึกษาเพื่อการพัฒนาการรถไฟอย่างยั่งยืน” โดยมีนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ,นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท. ,นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท. ,ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต นายสาวิทย์ แก้วหวาน ที่ปรึกษาสหภาพฯรฟท. และพนักงานรฟท.เข้าร่วม

การศึกษาดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสหภาพฯรฟท.และ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจปัญหา วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของรฟท. โดยมีการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนวทางเชิงนโยบายฯที่สอดคล้องกับความต้องการและบริบทที่แท้จริง เนื่องจากรฟท.ต้องเผชิญกับปัญหาหลายมิติ ทำให้มีหนี้สินสะสม 3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ การศึกษามุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนส่วน เปิดพื้นที่ให้พนักงาน 10 แห่งทั่วประเทศได้สะท้อนปัญหาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากการปฏิบัติงานจริงและร่วมเสนอแนวทางแก้ไข

โดยพบว่า รฟท.มีโครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย เส้นทางและสถานี ไม่ได้รับการปรับปรุงมานาน ขบวนรถมีอายุใช้งานนานจนไม่ปลอดภัย การเดินรถล่าช้า และเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก การบริหารรวมศูนย์ ไม่ยืดหยุ่น จำนวนบุคลากรไม่สอดคล้องกับงาน กำหนดอัตราค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุน รัฐสนับสนุนบริการเชิงสังคม (PSO) ล่าช้าและไม่เต็มจำนวนจริง ฯลฯ

จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันข้อมูลภาคสนาม และข้อเสนอของพนักงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องการปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อย่างยั่งยืนควรตั้งอยู่บนหลักการ "พัฒนาเพื่อสาธารณะ" โดยไม่เน้นผลกำไรสูงสุด แต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การเดินทางที่เป็นธรรม ปลอดภัย และเชื่อมโยงกับการพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศ ข้อเสนอเชิงนโยบาย 5 ด้าน ได้แก่               

1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี

1.1 จัดทำ "แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 10 ปี" โดยเริ่มต้นจากการซ่อมแชมและปรับปรุงเส้นทางเดิมที่มีศักยภาพ เช่น สายอีสาน-เหนือตอนล่าง 1.2 ควรนำระบบสัญญาณอัจฉริยะและซอฟต์แวร์ตรวจจสอบสภาพรถ (predictive maintenance) มาใช้ในเส้นทางหลัก 1.3 พัฒนาระบบจองตั๋วออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกขบวน และจัดตั้ง "ระบบติดตามขบวนรถแบบเรียลไทม์" บนมือถือ

2. ด้านการพัฒนาบุคลากรและแรงงาน

2.1 จัดตั้ง "สถาบันฝึกอบรมการถไฟยุคใหม่" ที่เน้นทักษะดิจิทัล การบริการ และความ

ปลอดภัย

2.2 ปรับระบบสวัสดิการให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและภาระงาน เช่น สวัสดิการสุขภาพพิเศษ

สำหรับพนักงานขับรถ-ตรวจราง และงานบำรุงทาง

2.3 สร้างระบบประเมินผลงานที่เป็นธรรม และเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

3. ด้านธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม

3 1 จัดตั้ง "คณะกรรมการกำกับธรรมาภิบาลองค์กร" ที่มีตัวแทนจากพนักงาน ภาคประชาชนและผู้เชี่ยวชาญอิสระ

3.2 พัฒนา "แพลตฟอร์มเสนอความคิดเห็น" จากพนักงานและประชาชนที่เข้าถึงได้จริง และมี

ระบบติดตามผล

4. ด้านแผนยุทธศาสตร์องค์กร

4.1 เสนอแผนปฏิบัติระยะสั้น (1-3 ปี) เน้นการแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น ความล่าช้า การซ่อมบำรุง

และการสื่อสาร

4.2 แผนระยะยาว (5-10 ปี) เน้นการพัฒนาองค์กรสู่การเป็น "แพลตฟอร์มระบบรางแห่งชาติ" ที่ทันสมัย เชื่อมโยงขนส่งทุกรูปแบบ

5. ด้านความร่วมมือกับภาคเอกชนโดยไม่แปรรูป

5.1 ส่งเสริมโครงการเฉพาะด้านที่ไม่กระทบต่อโครงสร้างหลัก เช่น การร่วมพัฒนาสถานีเชิงพาณิชย์ การบริการอาหาร-เครื่องดื่ม หรือการให้เอกชนทำโฆษณาบนรถ

ทั้งนี้ ในการสัมมนา พนักงานรฟท.ได้สอบถามและแสดงความเห็น หลากหลาย เช่น ปัญหาการขาดแคลนพนักงาน เนื่องจากมติครม.ให้รับพนักงานได้ 5% จากสัดส่วนการเกษียณอายุแต่ละปี ทำให้พนักงานโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถตรากตรำ กระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพ หัวรถจักรและรถโดยสารเก่าและไม่เพียงพอต่อความต้องการ และปัญหาที่ดินเขากระโดง และหนี้ตลาดนัดสวนจตุจักร ที่กทม.ค้างชำระ เป็นต้น

เป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งของการรถไฟฯที่ต้องการล้างหนี้กว่า 3 แสนล้าน ต้องตามดูต่อไปว่าจะทำได้หรือไม่!?!