ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ระบอบการปกครองของไทยเป็นระบอบที่เชื่อว่า “คนไทยขาดพระมหากษัตริย์ไม่ได้” แม้หลายครั้งจะมีคนพยายามจะทำลายและขัดขวาง “การคงอยู่” ของสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งนี้
“ความศักดิ์สิทธิ์” ไม่ใช่การแสดงอิทธิฤทธิ์ เสกข้าวของหรือสิ่งต่าง ๆ ได้ดั่งใจนึก หรือการทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ การมีฐานะที่เหนือมนุษย์ แข็งแกร่งและทำลายล้างสรรพสิ่ง เป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือผู้คนต้องก้มหัวยินยอม แสดงความเคารพต่อ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” นี้อย่างงมงาย
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนและบรรยายถึงพระมหากษัตริย์ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเราได้ไปรับเอาวัฒนธรรมของขอม เกี่ยวกับความเป็น “เทวราช” มาใช้เพื่อเสริมสร้างอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ให้ยิ่งใหญ่ เหมือนว่าพระมหากษัตริย์นั้นก็คือ “องค์เทพ” ที่มาปกครองมนุษย์นั่นเอง อันเป็นแนวคิดของทุกประเทศในยุคนั้น ที่เน้นเรื่องความมั่นคง การปกป้อง และแผ่ขยายราชอาณาจักร พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จึงเป็นเรื่องของ “ความศักดิ์สิทธิ์” หรือความมีชีวิตสูงส่งเหนือมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงได้เปลี่ยนแปลงให้มี “ความเป็นมนุษย์” มากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเข้าหาและใกล้ชิดกับราษฎรมากขึ้น กระนั้นผู้คนในยุคนั้นก็ยังเคารพนับถือพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะ “องค์เทพ” นั้นไม่เสื่อมคลาย
คนไทยเชื่อว่าประเทศไทยที่อยู่รอดปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองมาได้ก็ด้วยพระมหากษัตริย์ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าสมัยก่อนคนไทยกับพระมหากษัตริย์อาจจะ “ห่างเกินกัน” เพราะทั้งการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ แต่ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 4 มีหนังสือพิมพ์ มีการตัดถนน มีเรือกลไฟ การคมนาคมดีขึ้น การอ่านหนังสือพิมพ์แม้จะอยู่ในหมู่ชนชั้นนำ แต่ก็ทำให้เกิดการ “วิพากษ์วิจารณ์” หรือการสื่อสารในเรื่องความคิดมากขึ้น แม้กระทั่งการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปกครอง ที่รวมถึงพระมหากษัตริย์นั้นด้วย กระนั้นคนส่วนใหญ่ก็จะได้รู้ว่าบ้านเมืองนั้นกำลังพัฒนาไปอย่างไร เราสู้กับฝรั่งที่มาล่าเมืองขึ้นรอบบ้านเรานั้นอย่างไร และทุกอย่างที่ว่านั้นก็ดำเนินการหรือเกิดขึ้นโดยพระมหากษัตริย์เป็นหลัก กลายเป็น “ความศักดิ์สิทธิ์แบบใหม่” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะ “ผู้สร้างและผู้ยังให้รอด” ที่มาเห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยิ่งเป็นการปลูกฝังความรู้สึกเคารพเทิดทูนต่อองค์พระมหากษัตริย์นั้นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนเปลี่ยนจาก “ความกลัวเกรง” เป็น “ความเคารพรัก” ดังที่ประชาชนได้ถวายพระนามพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นว่า “พระปิยมหาราช” อันหมายถึง “พระมหาราชอันเป็นที่รักยิ่ง” รวมถึงพระนาม “พระพุทธเจ้าหลวง” ที่หมายถึง “ผู้ยิ่งใหญ่อันควรเคารพกราบไหว้ดั่งพระพุทธเจ้า” นั้น
ในขณะเดียวกัน แนวคิดที่จะลดทอนหรือจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ก็มีมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 นั้นด้วย ว่ากันไปแล้วก็มีการริเริ่มโดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นั้นเอง มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ทรงมีแนวคิดแบบนี้มาตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ โดยพระองค์ได้ร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ซึ่งก็คือพระอนุชาของพระองค์นั้น ตั้งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เรียกว่า “คณะสยามหนุ่ม” โดยมีการพูดคุยและส่งเอกสารถึงกันเกี่ยวกับเรื่อง “การปกครองแบบใหม่” อยู่เป็นระยะ แม้แต่ในช่วงที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว แต่ด้วยยังทรงพระเยาว์และต้องมีผู้สำเร็จราชการ ก็ยังทรงคิดที่จะนำการปกครองแบบใหม่นั้นมาใช้ในหลายเรื่อง ซึ่งได้ทำให้กลุ่มคนเก่า ๆ ที่นำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเป็นผู้สำเร็จราชการอยู่ในขณะนั้น ออกมาคัดค้าน นักประวัติศาสตร์จึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “คณะสยามเก่า” หรือ “สยามอนุรักษ์”
ใน พ.ศ. 2427 ในปีที่ 103 ของการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ (ร.ศ. 103) และเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์มาได้ 16 ปี คณะสยามหนุ่มที่นำโดยพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ผู้เป็นพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์หนึ่ง และทรงดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางจำนวนหนึ่ง ได้เสนอแนวคิดการปกครองแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยถวายเป็นหนังสือถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 (นักประวัติศาสตร์เรียกว่า “คำกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103”) โดยในหนังสือนี้เรียกระบอบการปกครองนั้นโดยทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “คอนสติติวชั่นโมนากี” (Constitution Monarchy) ให้มี “ปาลิเม้นต์” หรือรัฐสภา เป็นผู้นำเสนอกฎหมายและควบคุมการทำงานของข้าราชการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบ โดยพระราชทานพระราชวินิจฉัย “เห็นด้วย” กับแนวคิดนั้น แต่ทรงให้ข้อสังเกตว่า “ยังไม่ถึงเวลา” เพราะต้องให้ความรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นราบรื่นและสมประโยชน์ได้ ซึ่งได้ทรงทำให้เห็นด้วยว่าทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการขยายการศึกษาภาคบังคับไปทั่วประเทศ ทรงตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน จนถึงยกระดับการศึกษาให้สูงสุดจนถึงขั้นอุดมศึกษา ดังที่ได้ทรงคิดจะจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่อยู่ในช่วงท้ายในรัชกาลของพระองค์ท่าน แต่พระราชโอรสคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงสานต่อจนสำเร็จ) แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือพระราชดำรัสในคราวก่อนสิ้นพระชนม์ ที่มีการบันทึกไว้ว่าทรงมีพระราชดำรัสถึงการปกครองแบบใหม่นี้ว่า “ฉันจะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้พลเมืองไทยทันทีที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ กล่าวคือฉันจะให้เขามีปาลิเมนต์และคอนสติติวชัน”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับ “พระราชมรดก” นี้มาอย่างแน่นอน เพราะได้ทรง “ฝึกฝน” บรรดาข้าราชบริพารให้คุ้นเคยกับระบอบการปกครองแบบใหม่นี้มาในรัชสมัยของพระองค์ โดยทรงให้สร้างเมืองจำลอง ชื่อว่า “ดุสิตธานี” ที่บางคนเรียกว่า “เมืองตุ๊กตา” เพราะสร้างเป็นอาคารบ้านเรือนแบบตะวันตกขนาดย่อส่วนแต่เหมือนจริง มีถนน มีไฟฟ้า มีสวน เหมือนบ้านตุ๊กตา แต่นั่นก็เป็นเพียง “สื่อสัญลักษณ์” ที่พระองค์ท่านทรงต้องการให้บรรดาข้าราชบริพารและข้าราชการมองเห็น “ของจริง” ที่เป็นเหมือนเมืองที่มีอยู่จริง หรือต้องการที่จะสร้างขึ้นให้ได้จริง ๆ โดยได้ทรงให้สร้าง “ชีวิตการเมือง” ขึ้น ที่พระองค์ท่านทรงร่วม “ใช้ชีวิต” นั้นด้วย เป็นต้นว่า มีการแบ่งผู้คนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแพรแถบสีแดง กับ กลุ่มแพรแถบสีน้ำเงิน คล้าย ๆ กับเป็น “พรรคการเมือง” มี “นคราภิบาล” เหมือนว่าเป็นคณะผู้บริหารเมือง หรือ “คณะรัฐมนตรี” มี “ธรรมนูญการปกครองนคราภิบาล” เป็นกฎหมายสำหรับใช้ในเมืองดุสิตธานีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการออกหนังสือพิมพ์ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันได้ ถึงขั้นที่เขียนการ์ตูน “ล้อเลียน” ที่ทำกันถึงบรรดาขุนนางผู้ใหญ่และพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์นั้นด้วย อันแสดงถึงการเกิดขึ้นของการมี “เสรีภาพ” อันเป็นรากฐานสำคัญของระบอบการปกครองแบบใหม่ ที่มีชื่อเรียกในประเทศตะวันตกว่า “ดีโมเครซี” หรือ “ประชาธิปไตย”
แม้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ก็ทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องการที่จะต้องมีระบอบการปกครองแบบใหม่นี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นที่ทรงให้นักกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญขึ้นถวายเพื่อทอดพระเนตร รวมถึงที่ทรงเพิ่มบทบาทของที่ปรึกษาในพระองค์(ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในชื่อว่า “คณะอภิรัฐมนตรี” แต่มีบทบาทน้อยในสมัยรัชกาลที่ 6)ให้มีบทบาทในการบริหาร “ช่วย” พระองค์ท่านมากขึ้น โดยตั้งพระทัยว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ในวันที่มีการเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ วาระที่สถาปนามาบรรจบปีที่ 150 ในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นยังทำไม่เสร็จก่อนวันนั้น แต่ก็คาดว่าจะประกาศใช้ในปีนั้นให้ได้ ท่ามกลางข่าวระแคะคายว่าจะมีการ “เปลี่ยนแปลงการปกครอง” หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่าพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 คิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็น “ประชาธิปไตย” อยู่ก่อนแล้ว แต่ทรงทราบปัญหาต่าง ๆ จึงได้ค่อย ๆ ทำด้วยความรอบคอบ แต่ก็ “ไม่ทันใจ” ของคนบางกลุ่ม จนกระทั่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น กระนั้นพระราชปณิธานที่มีมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้สิ้นไป ดังที่ได้เห็นบทบาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรง “ปรับพระองค์” ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวด้วย “สันติ” ทั้งยังทรงนำคนไทยให้เข้าสู่ “ยุคใหม่” นั้น ด้วยการรักษาความปรองดองของคนในชาติ ให้มีความสามัคคีกันไว้ เพื่อพัฒนาประเทศชาติให้รุ่งเรืองสืบไป
นี่คือลักษณะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทำให้ไทยยังคง “เป็นไทย” มาตราบถึงปัจจุบัน