ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ในภาวะศรัทธา..ของความเป็นโลกแห่งชีวิต ณ วันนี้..จิตวิญญาณของมวลมนุษย์มักถูกทดสอบด้วยแบบทดสอบอันลึกเร้นและยากจะตีความ..มันคือสนามรบทางปรัชญาความคิดที่ขับเคี่ยวกันด้วยสัญชาตญาณอันร้อนร้ายสับสน ผสานกันทั้งด้วยดีและร้าย..ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงรอยร่างแห่งเจตจำนงรอบทิศ...คำถามที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำๆอันยากจะสลัดหลุด ก็คือว่า..เราจะพบการเริ่มต้น แสงสว่างของชีวิต..อันถือเป็นแนวทางหลักแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างแม่ตรงได้อย่างไร?..มันคือข้อคำถามอันฝังลึกที่ต้องสืบค้นด้วยความระแวดระวังและพินิจพิเคราะห์..เพื่อจักได้พบกับแสงแรก..ของการเฉลยปริศนาที่ชีวิตได้มีส่วนกระทำต่อชีวิต..!
"..ท่ามกลางแรงเสียดทานของตึกระฟ้า/ธนบัตรลอยว่อนจากเครื่องบิน/วิ่งวุ่นตามกระแสเงินสด/..เหมือนนักล่าแสงสว่าง/ตักช้อนความฝันบนตาข่ายล่องหน”
ปรากฏการณ์ข้างต้น..เปรียบประหนึ่งหลุมดำของยุคสมัยที่กลบฝังความเป็นชีวิตของผู้คน ณ วันนี้เอาไว้ใต้หลุมดำของสารพันหนี้กรรมของตัวตน..! ทั้งหมดในบทเริ่มต้นนั้น..คือการฉายแสงแห่งปรากฏการณ์ของยุคสมัย..เหนือโลกที่ยากลำบากต่อการควบคุม..
“นักล่าแสงแรก” (SUNRISE CATCHER) รวมกวีนิพนธ์ที่เปี่ยมเต็มไปด้วย บุคลิกภาพทางความคิด และ การจัดวางรูปรอย..เป็นการสอดผสานปัญญาญาณสู่ปัญญาญาณ ด้วยเงื่อนไขสำนึกอันตกผลึก และ เสียดแทงด้วยหัวใจแห่งวิจารณญาณ..โดยกวีสาว.. “ผู้หยั่งคิด” และ เต็มไปด้วย “ประกายไฟเชิง!ทัศนะ”..ที่ทั้งร่วมสมัยและล้ำสมัย..!
“ธรรมรุจา ธรรมสโรช”
“...คุณคิดเหมือนกันไหม/ว่านกน้อยนั้นอายุแสนสั้น/ร่วงหล่นจากรวงรัง/เท้ายังไม่มีสิทธิ์แตะพื้น/ความเยาว์/อาจจะถูกพรากไปจากเราอย่างโหดเหี้ยม/กระแทกพื้น/เจ็บปวดระบมหลัง/ฉันตายมาหลายครั้งแล้ว/ราวนกน้อยที่เพิ่งจบชีวิต/แต่แล้วปีกของฉันก็หาทางแข็งแกร่งขึ้นใหม่/คุุณคิดเหมือนกันไหม/ว่าคนเรามีหัวใจเหมือนนกฟีนิกซ์/เราสามารถฟื้นคืนชีพได้/ทุกคราวที่สลายเป็นผง/
นี่คือ “เสียงสะท้อนแสง”..ที่ “ธรรมรุจา” ได้แสดงออกมาผ่านชีวิตที่ฟื้นตื่น..ในโลกแห่งยุคสมัย..ที่เราต้องมีชีวิตอยู่กันด้วยกลไกแห่งการเปรียบเทียบของสัญญะ..หากไม่เข้าใจชีวิตก็ย่อมจะตื้อตัน มืดมน และ บาดเจ็บ..มีเวลาที่แสนสั้นดั่ง “นกน้อย”..นานาชีวิต!
ภาวะเปรียบเทียบในความเป็นตัวตนของ “ธรรมรุจา” นั้นเข้มข้น..มันทำให้ชีวิตของบทกวีมีหัวใจที่สัมผัสได้อย่างต่อเนื่องและเต้นเร่า ด้วยความหมายที่พุ่งตรงและเสียบแทง..
“..ฉันรักผู้หญิงผมแดงในตัวฉัน/เธอรอดตายจากกองเพลิง/เธอหนีออกจากบ้านสุมไฟ/อดีตไกลโพ้นซึ่งล่มสลาย/เธอยืนนิ่ง/มองเศษไม้กลายเป็นเถ้าถ่าน/เถ้าถ่านกลายเป็นธุลี/เธอยืนมองวันวานสุมเพลิง/สบตาเงียบงัน/ซึมซับ/เพื่อให้มั่นใจว่าปิศาจจะไม่คืนชีพ/..เธอยืนยิ้มอย่างภูมิใจ/ค่อยย่างเดินด้วยดวงตาเต้นระรัว/สัมผัสชิ้นส่วนของตัวเอง/กลายเป็นเถ้าถ่าน/เถ้าถ่านกลายเป็นธุลี/กลายเป็น “ฟีนิกซ์”
โครงสร้างในการเชื่อมโยงสู่รากลึกของชีวิต..คล้ายเหมือนจะเป็นการตีความและถอดความเนื้อในของกวีนิพนธ์ให้เป็นเบื้องแรกของการเข้าใจ..รหัสนัยแห่งใจความอันซ่อนเงื่อนซ่อนปม..ที่พร้อมจะแสดงออกถึงวิถีแห่งสัจจะที่มวลมนุษย์ ต่างพากันเร้นซ่อนอำพราง..เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด..!
“..จ้องมองนกกระพือปีก/ตะกายสู่หน้าผา/ถลาลงบนหลังนก/โอบกอดอย่างอบอุ่น/ในมือนั้นเล่า/กำขนนกแน่น/ก้มมองมหานครเบื้องล่าง/ตัวสั่นเทา/..ล่ามจิตวิญญาณกับหลังนก/จึงสิ้นความเป็นคนนับแต่นั้น..!”
ความเชื่อมโยงเชิงนัยแห่งกวีนิพนธ์/ถูกร้อยเรียงเป็นฉากแสดงในลักษณะนี้อยู่หลายบทตอน..มันก่อมิติด้านการแสดงบทบาทออกมาให้เห็นที่เกี่ยวเนื่องถึงกันอย่างสอดรับ..หลายๆขณะที่ชีวิตมักจะทำอะไรออกมาโดยลืมที่จะครุ่นคิดและไร้สติ..เป็นผลให้การรับรู้ระหว่างกันของชีวิตต้องขาดพร่องจากกันไปอย่างน่าเสียดาย กระทั่งกลับกลายเป็นความรุนแรงต่อโลกแห่งชีวิต จนยากจะป้องกันและเยียวยา..เป็นภาษาสากลที่ห่มคลุมโลกอย่างน่าสะพรึง..!
“ท่านทั้งหลาย โลกเรามีทั้งสิ้นกว่า 7,000 ภาษา/ทุกภาษา...มีคำว่ารุนแรง/ ไวโอเลนซ์ วีโอเลนเซีย ความรุนแรง ลา วีโอลองซ์ บอรีโยกี กีกีราชัน ป้าวลี่..ความรุนแรงเป็นภาษาสากล/ความรุนแรงะพูดกับเราด้วยหลายน้ำเสียง/บางครามาแบบกระซิบ/บางคราเป็นเสียงก่นด่า..ตะโกน ตะคอก ตะวาด ตะเบ็ง.../เสียงแห่งความรุนแรงไม่ใช่แค่เสียง/แต่คือประสบการณ์ที่หลอกหลอน/บั่นทอนทุกประสาทสัมผัส...”
กวีนิพนธ์บางบทของ “ธรรมรุจา” คล้ายดั่งนิทานเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง โดยมีโครงเรื่องเกาะกินใจในความไม่เต็มส่วนของบุคคล..ภาพเเสดงของ “ดวงดาวครึ่งซีก”
ซึ่งเป็นทั้งโอกาสแห่งความหวังและหลุมดำแห่งความมืดมน..คราใดที่ถูกกลั่นแกล้งจากศัตรูร้าย..มนุษย์เราจักต้องรู้สำนึกที่จักต้องต่อสู้กับศัตรูอันอาจเปรียบได้กับปีศาจร้ายผู้คุกคาม..จนตัวเราทั้งหลายต้องตกเป็นเหยื่อแห่งชะตากรรม “ผู้เสียหาย” ไปอย่างสิ้นท่า..!
“..ท่านทั้งหลาย..ผู้เสียหาย..อาจเคยถูกเรียกว่าเหยื่อ/วันนี้..เราสร้างนิยามใหม่ในใจเรา/ในกายเรา/เราคือผู้ชนะ/ผู้อยู่รอดจากสมรภูมิ/ น้ำตาที่ร่วงหล่น/ให้น้ำตาเป็นอัญมณีแห่งกาลเวลา/ที่เพิ่มคุณค่าจากการเจียระไน/เป็นเพชรเม็ดงาม/ แผลเป็นทางจิตใจ/ทางร่างกาย/คล้ายการกัดเซาะกดดันจากผืนพิภพ/แรงบีบอัด/เมื่อถึงเวลาเหมาะสม/จะบ่มเป็นความแข็งแกร่ง/ส่องประกายบริสุทธิ์/..
*..เด็กชายเด็กหญิง พากันยิ้มหัวเราะ..เด็กชายเรียนรู้ที่จะเสกดวงดาวเอง/เขาเสกดวงดาวหลากสีแบ่งให้เด็กหญิงบ้าง/พื้นที่ของทั้งสองคน จึงมีดวงดาวระยิบระยับ/เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ลีลาการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์ของ “ธรรมรุจา” จะมีส่วนของการเทียบค่าในเชิงเปรียบเทียบให้เห็นถึงเนื้อในอันควรจะเป็นจากภาวะตรงข้ามที่ค่อนข้างจะกระจ่างชัดและเข้าใจ..เป็นศักยภาพแห่งการรอบรู้ของผู้เป็นกวี..อันถ่องแท้..!
“และ..เช่นกัน..ทุกภาษา มีคำว่า.. “ความเมตตา”/..คอมแพสชั่น..กอมปาซีญอน ความเมตตา กงปาซีญง โอโมฮิบาริ ถงชิง กาซี ซายัง..ให้ความเมตตามาแทนที่../สร้างวิถีใหม่/หยุดความรุนแรง/โลกจะสวยงาม การมองโลก..ด้วยสายตาของจิตใจถือบรรทัดฐานสำคัญของกวีนิพนธ์ชุดนี้.. “ธรรมรุจา” ไม่ได้สร้างสรรค์ลีลากวีแค่เพียงอารมณ์อันไหววูบ แต่มันเกิดขึ้นจากการประจักษ์ภาวะเหตุการณ์จริงในความรู้สึกจริง..เหตุนี้ก็กวีนิพนธ์ในแต่ละบทจึงมีสาระแก่นสารสำคัญแฝงฝังอยู่..กระทั่งเกิดเป็นรูปรอยทางมวลสำนึกอันตกผลึก..ที่ยากจะโต้แย้ง..สายตาของ ธรรมรุจา..หลุดพ้นจากโลกสมมติ..มันเคลือบชีวิตของกวีนิพนธ์งไว้ด้วย..ความแม่นตรงทางบุคลิกลักษณะและสาระแห่งการตระหนักรู้อันแม่นตรง(Authentic Character &Themetic)เป็นรายละเอียดของงานที่ต้องจับใจความเพื่อหาผลลัพธ์ทางจิตวิญญาณในที่สุด..!
“...แด่นักท่องราตรี/จิตรกรผู้วาดดวงจันทร์/ “นักล่าแสงแรก” ทั้งหลาย/ขวัญของเจ้าอยู่ไหน/ลอยไกลสู่ทางช้างเผือกแล้วหวนคืน/หรือว่ายังไม่หวนคืน../เจ้าเสียดายอดีตบ้างไหม/หรือโอบกอดรอยจำ/..ไยแผลเป็นเจ้าจึงลึกนัก/เป็นรอยสลักดุจพื้นผิวดวงจันทร์/กลายเป็นเรือนร่างแห่งเจ้า/ “รอยสาก” ซึ่งไม่อาจหนี...
นี่คือ “กวีนิพนธ์” แห่งความรู้สึกอัน “กระทบตากระทบใจ” ของ “กวีหญิง” ผู้เปิดเผยถึงเนื้อในแห่งมโนสำนึกเพื่อตีแผ่เรื่องราวแห่งทิศทางสำนึก..ผ่านสัมผัสรู้และการมองเห็น..ผ่านการพิเคราะห์อดีตสู่ปัจจุบัน/และผ่านขบวนการตีความชีวิตนานาของปัจจุบันสู่สายทางความเป็นไปแห่งอนาคต..
ประสบการณ์ในด้านการเรียนรู้เชิงวิชาการและชีวิตของเธอ..เหมือนจะเป็นประตูสำคัญที่เปิดกว้างต่อการตีความและสร้างสรรค์ที่มุ่งมั่น..รวมทั้งเป็นการคาดคะเนถึงอนาคต..ที่อาจมีส่วนจะต้องกลายเป็น..หัวใจของรวมบทกวีชุดนี้อยู่ตรงนี้..อยู่ตรงการ “กุมชะตา” ของเรื่องราว..ด้วยน้ำมือ ปัญญา..และ การออกแบบสาระเนื้อหาอันเป็นคุณของผู้เป็นกวีเอง..
..เด็กที่เกิดในยุคสมัยหน้า/ไม่มีตราบังคับให้สับสน/พ่อไปทางแม่ไปทางไม่อับจน/เด็กทุกคนมีเทคโนโลยี/.... เด็กห้าขวบเลี้ยงสัตว์บนแพลตฟอร์ม/เฝ้าถนอมดูแลแต่แบเบาะ/เจ็ดขวบขับเอฟวันคันเฉพาะ/ผลิตไว้เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า/ สิบขวบเริ่มหัดดขับเครื่องบิน/ลงทรัพย์สินหุ้กู้กันฟู่ฟ่า/พี่เลี้ยงบ็อตจอดเก่งเร่งนำพา/ข้ามขอบฟ้าร่อนลงอย่างนุ่มนวล/ฯลฯ..
ผมถือเอานักล่าแสงแรก..เป็นความสดใหม่ทางสำนึกคิดของการเติบโตที่ฉายแสงออกมาจากทุกทิศทุกทาง หากได้อ่านรวมบทกวีชุดนี้อย่างเพ่งพินิจ...มันคือภาพสะท้อนของภาพสะท้อนที่ทำให้เราได้สัมผัสแสงเเรกในนิยามความหมายของชีวิตได้อย่างตื่นตระการและสงบงาม..โดยผัสสะแห่งแสงแรก “แสงแห่งวิญญาณ”
ภายในที่ทอแสงแห่งความงามออกมาด้วยจิตใจอันพิสุทธิ์..ตราบใดที่เราเห็นถึงข้อเปรียบเทียบในชีวิตอย่างเจิดกระจ่าง..เราย่อมเข้าใจถึงภาวะแห่งการรับแสงฉายอันสุกสว่างนั้น..ด้วยความรักและด้วยการเบ่งบานแห่งตัวตนของตน..เหนือความปรารถนาแห่งการยึดมั่น..ใดๆ...!
“..เจ้ายังไม่ถึงจุดหมาย/เพราะจุดหมายเจ้าเปลี่ยนไปเรื่อย/ยามแววตาฉายความกระตือรือร้น/..ยามเจ้าเห็นดาวประกายพรึกใหม่/นี่แหละคือขอบฟ้าใหม่/เจ้าตื่นในอ้อมอกแรงดึงดูด/.. “เรียกตัวเองว่า.. “นักล่าแสงแรก”...”