“ศาลรัฐธรรมนูญ”ไต่สวน “นายกฯอิ๊งค์ -เลขาสมช.” คลี่ปมคลิปเสียงจ้อ “ฮุน เซน” พร้อมสั่งเลื่อนยื่นคำแถลงปิดคดี 25 สิงหาฯนี้ เตือนห้ามเผยแพร่ข้อมูลการไต่สวน คงกำหนดนัดชี้ชะตา 29 ส.ค.”ภูมิธรรม” ยันส่งทนายฟ้อง “ธนพร”ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ข้อหาหมิ่นประมาท เหตุทำลายเกียรติยศ-เกียรติภูมิของผู้อื่น บอกไม่รับคำขอโทษ จับตาคดีชั้น 14! "นิพิฏฐ์" ชี้ หากศาลฎีกาฟันธง "ทักษิณ" ยังไม่รับโทษ อาจต้องกลับเรือนจำ

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 เมื่อเวลา 09.20 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม เดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเข้ารับการไต่สวนพยานบุคคลกรณีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของส.ว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมทนายความส่วนตัวเดินทางมาด้วย

นอกจากนี้ยังมี นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และน.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว ได้เดินทางมาให้กำลังใจ โดย น.ส.แพทองธาร มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 20 ส.ค. ไปทำบุญวันเกิดมากำลังใจดีใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามเพียงแต่ยิ้ม และได้ยกมือสวัสดีทักทายสื่อมวลชน

ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน โดยนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงกระบวนการพิจารณา ว่าวันนี้เป็นการนัดไต่สวนพยานบุคคลที่เรียกมาให้ถ้อยคำในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม มาตรา 82  ว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ทั้งนี้ ศาลไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในการไต่สวน เนื่องจากพยานบุคคลที่มาให้ถ้อยคำเป็นพยานคู่ และเป็นคดีที่เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ  ห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญนำข้อความการไต่สวนออกไปเผยแพร่และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลได้มีการรายงานผู้มาศาลของคู่กรณีว่า ฝ่ายผู้ร้องทางประธานวุฒิสภามอบฉันทะให้ผู้แทนมาศาลประกอบด้วย 1.พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา 2.พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. 3.นายชนินทร์ แก่นหิรัญ 4. นายตฤณ แก่นหิรัญ 5. นายอมร สุวรรณโรจน์

ส่วนผู้ถูกร้อง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และพยานบุคคล คือ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

จากนั้นนายนครินทร์ แจ้งว่าในการไต่สวนศาลได้มอบหมายให้นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เป็นผู้ดำเนินการไต่สวน และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านอื่นร่วมซักถาม โดยนายวิรุฬห์ ได้ขอไต่สวนนายฉัตรชัยเป็นปากแรก และขอให้น.ส.แพทองธาร ออกไปรอด้านนอก

ทั้งนี้ แจ้งว่าหากฝ่ายผู้ร้องหรือทนายต้องการซักถามพยานจะต้องได้รับการอนุญาตจากองค์คณะตุลาการศาลก่อน

ต่อมาเวลา 13.02 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยาน 2 ปาก ในราย น.ส.แพทองธาร และนายฉัตรชัย แล้วเสร็จในคดีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า

นายนครินทร์ ได้ย้ำตอนหนึ่งระหว่างอ่านรายงานกระบวนวิธีพิจารณาคดีว่า ห้ามมิให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่และบิดเบือนข้อมูลที่จะทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด และตามที่ศาลได้สั่งให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 และนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 สิงหาคมเวลา 09.30 น.และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในเวลา 15.00 น.นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ตุลาการแต่ละท่านมีเวลาทำคำวินิจฉัยส่วนตนเพียง 1 วันเพื่อให้การวินิจฉัยของศาลเป็นไปอย่างรอบคอบและครบถ้วน อาศัยอำนาจตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 31 ให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 ส.ค.68 หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจยื่น ส่วนการนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ และนัดฟังคำวินิจฉัยให้เป็นไปตามกำหนดเดิม คือ 29 ส.ค.68

ส่วนที่ลานประชาชน อาคารรัฐสภา กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย ได้นัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับปี 2543 และ 2544 เนื่องจากวาระการประชุมสภาในวันนี้จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว

บรรยากาศการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้ามีมวลชนเดินทางมาปักหลักรับฟังการปราศรัย พร้อมโบกธงชาติไทยและชูป้ายข้อความเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกด้วย

สำหรับกำหนดการในวันนี้ แกนนำจะสลับกันขึ้นปราศรัย อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายพิชิต ไชยมงคล, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โดยจะยุติการชุมนุมในเวลา 17.00 น. พร้อมกันนี้จะมีการยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ และตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อขอให้ยกเลิก MOU 43 - 44

ด้าน นายพิชิต ไชยมงคล หนึ่งในแกนนำ เปิดเผยว่า การชุมนุมในวันนี้เพื่อสื่อสารถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจาก ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทยจะเสนอเรื่องขอให้ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ต่อที่ประชุมสภาฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มฯ ที่มองว่า MOU ดังกล่าวทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและข้อพิพาทกับกัมพูชา จึงควรมีการเจรจาใหม่แบบทวิภาคี โดยให้ทางการไทยเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:50,000

นายพิชิตยังกล่าวถึงกรณีคลิปเสียงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าเป็นเจตนาดีต่อประเทศชาติว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง “น.ส.แพทองธารปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะประชาชนได้รับฟังและตัดสินไปแล้ว คำพูดในคลิปไม่ได้เป็นผลดีต่อประเทศไทย ดังนั้นในทางการเมืองนายกฯ ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน สามารถลาออกได้ทันที” นายพิชิตกล่าว

ส่วนกรณีที่มีการชี้แจงว่าเป็น "เทคนิคการเจรจา" นั้น นายพิชิตมองว่า "เป็นข้ออ้าง" เพราะไม่ใช่เทคนิคการเจรจาเพื่อประเทศชาติที่ควรจะมาด้อยค่าบุคลากรภายในประเทศตัวเอง แต่เป็นเทคนิคในการรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเองมากกว่า

เมื่อถูกถามว่านายกรัฐมนตรีจะลาออกก่อนมีคำพิพากษาในวันที่ 29 ส.ค. นี้หรือไม่ นายพิชิต ระบุว่า "ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีควรจะลาออก ซึ่งเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ให้ลาออกเสมือนเป็นเอกฉันท์ไปแล้ว"

นายพิชิต ยังได้ย้ำว่า สภาฯ ควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจาก MOU ดังนั้นฝ่ายนิติบัญญัติควรจะมีท่าทีและวางกรอบกติกาใหม่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ และหากที่ประชุมสภาฯ ไม่สามารถยกเลิก MOU ดังกล่าวได้ กลุ่มฯ ก็จะยกระดับการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องต่อไป เนื่องจาก MOU นี้ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างมาก

วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการมอบอำนาจทนายความยื่นฟ้องนายธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ในฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถ้านายธนพรขอโทษ จะเลิกแล้วต่อกันหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ทางการเมือง เมื่อเป็นการขอโทษผ่านสื่อจะยุติกันไปนั้น ว่า เป็นเรื่องของทนายเพราะมอบหมายทนายแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.)

เมื่อถามว่า จะมีการฟ้องร้องคนอื่นเพิ่มเติมหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่เกินเลย พูดแล้วไม่รับผิดชอบ ทำลายเกียรติยศเกียรติภูมิของผู้อื่น ก่อให้เกิดความสับสน ต่อปัญหาของประเทศ ก็คงจะฟ้อง

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาการวิจารณ์ทางการเมือง จะไม่ค่อยมีการฟ้องร้องกัน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่จริง เพราะมีการฟ้องร้องไปเยอะแล้ว ย้ำว่าไม่จริง ถ้าไปทำลายเกียรติภูมิครอบครัวเขาเขาก็ฟ้องร้องทั้งนั้น ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตไม่เป็นไร แต่ถ้าวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่สุจริตและนำข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นเรื่องที่ควรรับผิดชอบ และต้องไปถามผู้ที่วิจารณ์ ว่าวิจารณ์ไปโดยไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีข้อมูลที่เป็นที่ประจักษ์ ทำได้หรือไม่ ไม่ใช่มาถามผู้เสียหาย

ส่วน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ระบุว่า ชั้น 14 รพ.ตำรวจ มีคนถามว่า ในกรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าคุณทักษิณยังไม่ได้รับโทษตามคำพิพากษา ผลจะเป็นอย่างไร ผมตอบว่า ตามความเห็นผม การที่ศาลมีคำสั่งให้คุณทักษิณและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาฟังคำวินิจฉัยด้วยตนเอง หากศาลวินิจฉัยว่าคุณทักษิณยังไม่ได้รับโทษจริง ก็สามารถสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นำตัวคุณทักษิณไปจำคุกได้ เพราะเป็นการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกา นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของผม ผิดหรือถูกไม่รู้