เรื่องเด่นของวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง "ศาลรัฐธรรมนูญ" นัดไต่สวน "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย "นายฉัตรชัย บางชวด" เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ โดยเป็นการไต่สวนพยาน 2 ปาก และเปิดให้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่ศาลฯ ยังมีข้อสงสัย

การไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับคดีคลิปเสียงระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม ผลลัพธ์จะส่งผลลึกซึ้งต่อโครงสร้างอำนาจและทิศทางการเมืองของประเทศในระยะยาว ดังนี้

 

* หาก "แพทองธาร" ถูกตัดสิทธิ์จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

 

1. พรรคเพื่อไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน

การสูญเสียผู้นำที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตร อาจทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาฐานเสียงและความเชื่อมั่นจากประชาชน ถึงแม้รอดจากศาล แต่สังคมอาจไม่ยอมรับ ทำให้พรรคต้องพิจารณาการเปลี่ยนตัวนายกฯ เพื่อยื้ออำนาจและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า 

 

2. การเปลี่ยนตัวนายกฯ อาจเป็นทางออกชั่วคราว

ในกรณีที่นายกฯ แพทองธารถูกตัดสิทธิ์ นายชัยเกษม นิติสิริ อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการรับตำแหน่งชั่วคราว เพื่อให้พรรคสามารถจัดระเบียบและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป การเลือกบุคคลที่มีความเป็นกลางและไม่เกี่ยวข้องกับคดีความอาจช่วยลดแรงกดดันจากสังคมและคู่แข่งทางการเมือง


* หาก "แพทองธาร" ไม่ถูกตัดสิทธิ์และยังคงดำรงตำแหน่งนายกฯ

 

1. ความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่น

แม้จะได้รับการตัดสินให้ไม่พ้นจากตำแหน่ง แต่ภาพลักษณ์ของนายกฯ แพทองธาร อาจได้รับผลกระทบจากคดีความนี้ การขาดความชัดเจนและความโปร่งใสในการดำเนินงานอาจทำให้ประชาชนและสถาบันต่างๆ ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง

 

2. ความจำเป็นในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)

เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดแรงกดดันจากสังคม นายกฯ แพทองธารอาจจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยการแต่งตั้งบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้

 

3. ผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า

แม้จะสามารถดำรงตำแหน่งได้ แต่ความไม่แน่นอนและความขัดแย้งภายในพรรคอาจส่งผลกระทบต่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจต้องพิจารณากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อรักษาฐานเสียงและความเชื่อมั่นจากประชาชน

ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นเช่นไร การเมืองไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการดำเนินงานของรัฐบาล การปรับตัวและการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของการเมืองไทยในอนาคต