อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ยังคงเป็นหนึ่งในอาชีพที่สำคัญและได้รับความสนใจจากเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหม โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการผลิต ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นงนุช วงคง เกษตรกรจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ประจำปี 2568 ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่กับเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมถ่ายทอดความรู้ให้กับทายาทหม่อนไหมในชุมชนและผู้ที่สนใจ 

อีกทั้ง นงนุช วงคง ยังใช้ความพยายาม ความอดทน และความตั้งใจจริง ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าทั้งเส้นไหม ผ้าไหม ให้ได้มาตรฐานจนเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกย้อมสีธรรมชาติที่ใช้วัสดุธรรมชาติในชุมชนอย่าง “โคลนขี้ช้าง” นำมาย้อมสีเส้นไหมซึ่งได้สีที่สวยเป็นที่ต้องการของตลาด และที่สำคัญสีไม่ตก  

นงนุช วงคง

นงนุช วงคง เล่าวว่า จากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นอาชีพเสริม แต่เมื่อได้มีโอกาสรับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็หันมาทำเป็นอาชีพหลักในปี  2552- 2553 และเริ่มต้นจากเลี้ยงไหมพันธุ์ไทย ที่เก็บตัวไหมเพื่อสาวไหมได้น้อยมากปีละ 1-2 รุ่น แต่พอเปลี่ยนมาเป็นไหมพันธุ์ลูกผสม ก็สามารถเก็บไหมได้ปีละ 5-6 รุ่น ขยับมาเป็น 8-9 รุ่นต่อปี และพัฒนามาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันสามารถเก็บไหมได้มากถึง 13 รุ่นต่อปี ทำให้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง และดูแลพ่อแม่และครอบครัวได้ จากอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และทอผ้าไหม               

การเรียนรู้ได้พัฒนาและต่อยอดไปเรื่อย ๆ จากย้อมสีเคมี แต่เมื่อกรมหม่อนไหม ส่งเสริมให้มีผ้าไหม “ตรานกยูงพระราชทาน” ก็ได้ปรับเปลี่ยนจากสีเคมีมาเป็นสีธรรมชาติให้ทันกับกระแสโลกของการเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงคุณภาพและมาตรฐานไหมไทย ด้วยการนำพืชในท้องถิ่นข้างบ้านมาฟอกย้อมสีธรรมชาติ ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ ใบนี้ให้สีแบบนี้ ใบนั้นให้สีแบบหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกย้อมสีธรรมชาติที่ใช้วัสดุธรรมชาติในชุมชนอย่าง “โคลนขี้ช้าง” นำมาย้อมสีเส้นไหมซึ่งได้การตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี

“หลังบ้านมีช้างเยอะ ทำอย่างไรให้มีสตอรี่คนกับช้างอยู่ด้วยกันได้ จึงเอาขี้ช้างมาหมักโคลนกับเส้นไหม ประเด็นก็คือขี้ช้างมีกลิ่นเหม็น เรามีนำมาล้างหลาย ๆ ครั้ง และเรียนรู้กระบวนการเอาเส้นไหมไปแช่น้ำส้มสายชู และก็ใส่น้ำมันมะกอกลงไปนิดหนึ่ง ทำให้เส้นไหมมีกลิ่นหอมโดยอัตโนมัติ เส้นไหมจะนุ่มและหอม นี่คือข้อเด่นของเราคือปรับให้มันไม่มีกลิ่นได้ และได้สีเขียวธรรมชาติที่ออกมาสวยงาม”   

นอกจากนี้ ได้รวมกลุ่มในชุมชน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าบ้านอ่างเตย อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวนสมาชิก 12 คน ผลิตผ้าไหม โดยมีการอบรมสมาชิกให้มีการผลิตเส้นไหมที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มกษ. ซึ่งจะคัดเกรดเส้นไหมใจหนึ่งจะต้องได้ไหม 95-105 กรัม ซึ่งจะรวบรวมให้อยู่ในหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งเป็นการคัดเกรดมาตรฐานเส้นไหมของกลุ่ม รุ่นหนึ่งอาจจะได้ 3-4 กิโลกรัม แล้วแต่คนไหนเลี้ยงไหมเยอะก็ได้เยอะ แต่ละแห่งจะเลี้ยงไม่เท่ากัน  
ส่วนรายได้จากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไข่ไหม 1 แผ่น จะมีไข่ประมาณ 20,000 ฟอง ฟัก 90% ถ้าเลี้ยงแบบเต็มที่จะใช้ระยะเวลาปลูก 18 วัน เพื่อได้ตัวไหม และใช้เวลาสาวไหม รวมแล้วประมาณ 1 เดือน จะได้เส้นไหม  2.5 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 1,800 บาท ได้ดักแด้ประมาณ 15-16 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท 

“ส่วนตัวแล้วจะผลิตเส้นไหมได้ประมาณ 3 กิโลกรัมในแต่ละเดือน ขายดักแด้ได้ 18 กิโลกรัม เดือนหนึ่งทำรายได้ประมาณ 7,200 บาท ก็อยู่ได้แล้วจากอาชีพปลูกหม่อนไหมเลี้ยงไหมอย่างเดียว บางคนทำเยอะก็ได้เยอะประมาณ 10,000-12,000 บาท ต่อเดือน เกษตรกรอยู่บ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแค่ 2 ไร่ ก็ทำได้ ปลูกแค่ 6 เดือน ก็เก็บผลผลิตได้แล้ว เป็นอาชีพที่ให้เงินเร็ว ระยะเวลาทำงานเดือนเดียวก็ได้เงินแล้ว มีรายได้เลี้ยงดูพ่อแม่โดยไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม แค่อยู่บ้านก็มีรายได้”  

นงนุช วงคง เล่าด้วยความภูมิใจว่า อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัว แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่และเติบโตต่อไป การเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องในอาชีพนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและเกษตรกรไทยในอนาคต