วันนี้ (20ส.ค.2568) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวว่า ตามที่พรรคพลังประชารัฐ  ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ครั้งที่ 20/2568 ที่ประชุมได้มีการประชุมและมติยืนยันชัดเจนว่า  พรรคพลังประชารัฐ เห็นด้วยกับการยกเลิก  MOU 2543 และ MOU2544 และขอขอบคุณนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยและนายนิพนธ์  บุญญามณี และทุกฝ่ายที่เห็นแก่ประเทศชาติช่วยผลักดันการยกเลิก MOU 2543 และ MOU2544 เนื่องจาก MOU ทั้งสองฉบับ  แม้ว่าจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งตามแนวพรมแดนไทยกัมพูชาในบางประเด็นก็ตาม   แต่ MOU ทั้งสองฉบับยังมีจุดอ่อนและมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นแผ่นดินไทยทั้งทางบกและทางน้ำและที่สำคัญ MOU ดังกล่าวยังขัดกับ พระบรมราชโองการ ของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 และขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน
       

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า  MOU ทั้งสองฉบับยังมีจุดอ่อนและมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นแผ่นดินไทยทั้งทางบกและทางน้ำ  เนื่องจากได้มีนักการเมืองไทยไปแอบลงนามในเอกสารแนบท้าย MOUดังกล่าว กับนายฮุนเซนฯ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา  โดยได้แนบหรือรับรองแผนที่ 1: 200,000 แทนที่ จะใช้มาตราส่วน 1: 50,000 ซึ่งในปัจจุบันสากลได้ใช้มาตราส่วนนี้เป็นหลักในการปักปันแนวเขตชายแดนระหว่างประเทศ  ซึ่งมีความละเอียดและทันสมัยกว่า มาตราส่วน 1:200,000  และทหารไทยก็ใช้มาตราส่วน 1:50,000เป็นหลักในปัจจุบัน   หากMOUดังกล่าวยังคงอยู่ทางฝ่ายทหาร ก็จะเสียเปรียบและมีปัญหาในการเจรจาอยู่ตลอดเวลาที่มีการเจรจา
       

และที่สำคัญ MOU 2544 ดังกล่าวยังขัดกับ พระบรมราชโองการ ของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 ลงวันที่ 18 พ.ค.2516 โดยประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดกฎหมายทะเลสากลในเวลานั้น คือ บทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งราชอาณาจักรไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 ซึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  การที่นักการเมืองหรือคนหนึ่งคนใดไปแอบทำสัญญากับประเทศกัมพูชาโดยฝ่าฝืนประกาศพระบรมราชโองการฯ ถือว่า เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง   นอกจากนี้ MOU ดังกล่าว  จะทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่สูญเสียพื้นที่ผืนน้ำบริเวณใต้เกาะกูด เนื่องจากได้มีการรับรองว่า พื้นที่บางส่วนใต้เกาะกูดเป็นพื้นที่กรรมสิทธิ์ร่วม  ต้องแบ่งผลประโยชน์ คนละ50:50 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่ง ข้อเท็จจริงแล้วพื้นที่ผืนน้ำดังกล่าวเป็นของประเทศไทยอย่างชัดเจนแต่เพียงผู้เดียวตามประกาศพระบรมราชโองการ พ.ศ.2516 และMOU 2544 ยังขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน  แม้จะเกิดขึ้นในยุครัฐธรรมนูญ 2540 ผ่านยุครัฐธรรมนูญ 2550 แต่เมื่อมาถึงยุครัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อพิจารณาแล้วเป็นหนังสือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับอาณาเขตของประเทศที่เข้าข่ายมาตรา 178 ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่อย่างนั้นจะขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน 
       

การยกเลิก MOUดังกล่าว  หากประเทศไทย มีความจำเป็นก็สามารถประกาศยกเลิกได้โดยทันที โดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากคู่สัญญาหรือประเทศกัมพูชาเหมือนตามที่ น.ส.แพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวอ้างกับผู้สื่อข่าวว่าไม่สามารถยกเลิก MOU ดังกล่าวได้  แท้ที่จริงแล้วประเทศไทยสามารถประกาศยกเลิก MOUได้เลยเพราะเป็นแค่บันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจเท่านั้น   ทุกวันนี้  อยากให้เราทุกคน เน้นย้ำผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต้องมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน  หากเอาประโยชน์ส่วนตนหรือของครอบครัวเป็นที่ตั้ง  ประเทศก็จะประสบปัญหา  ประชาชนได้รับความสูญเสีย เหมือนเช่นทุกวันนี้“