การตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะฟ้องร้องนายฮุนเซนและนายฮุน มาเนตในประเทศ แทนที่จะเป็นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เป็นยุทธศาสตร์ที่น่าจับตา การฟ้องร้องในประเทศมีเป้าหมายหลักในการแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลไทยในการปกป้องอธิปไตยและชีวิตทรัพย์สินของประชาชน

ในขณะเดียวกันก็สะท้อนข้อจำกัดในการที่ไม่สามารถยอมรับอำนาจของศาลคดีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ

“จุดสำคัญเรื่องนี้ คือ เราจะฟ้องในประเทศเท่านั้น จะไม่ไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพราะไทยไม่ได้รับขอบเขตอำนาจของศาล”

“เราไม่ทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งการฟ้องในประเทศในครั้งนี้  สามารถดำเนินการได้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคดีชนักปักหลัง เจอที่ไหน เมื่อไหร่ ถ้าเข้ามาในประเทศไทยก็จับ” ภูมิธรรมระบุ

จากคำประกาศดังกล่าว นำไปสู่การตอบโต้จากสมเด็จฮุนเซนผ่านโซเชียลมีเดีย กล่าวหาว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไทยขาดความเข้าใจในพิธีการทางการทูตเป็นการโจมตีทางการเมืองโดยตรง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในเวทีโลกและในสายตาประชาชน

 การยกประเด็นว่ากัมพูชาก็สามารถฟ้องร้องผู้นำไทยได้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาจะไม่ยอมรับการกระทำของไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปะทะคารมระหว่าง “ภูมิธรรม” กับ “สมเด็จฮุนเซน” หากแต่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน

เผชิญหน้าทางทหาร แต่ได้ขยายมาสู่สนามรบทางจิตวิทยาและการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ  ด่วยทั้งคู่ต่างต้องใช้วาทกรรม การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองในประเทศ  ใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจา  สร้างภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำ

ดังนั้นการที่ระหว่างนี้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงอาจเป็นความโชคดีของ แพทองธาร ก็เป็นได้ ที่ไม่ต้องปะทะคารมกับ “อังเคิ่ล”