ถ้า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องเดินเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 กลายเป็นภาพการเมืองที่สะท้อนแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

ต่างจากเวทีสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการเผชิญหน้ากับ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คือการต่อสู้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ไม่ใช่วาทศิลป์หรือการโต้แย้งทางการเมืองเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เธอจะต้องตอบคำถามด้วยตนเองแบบ ตัวต่อตัว โดยไม่มีทีมงานหรือผู้ช่วยอยู่ข้างกาย ท่ามกลางการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ถ่ายทอดสดการไต่สวนคล้ายกับกรณีที่ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เคยเผชิญมาก่อน ซึ่งเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งในภาวะกดดันสูงสุด

ข้อกล่าวหาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) คือหัวใจสำคัญของการไต่สวน โดยมีประเด็นว่าแพทองธารขาดความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

หลักฐานในคดีคือ คลิปเสียงสนทนากับ "สมเด็จฮุนเซน" ซึ่งหากศาลรับฟังว่าเป็นพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ก็อาจชี้เป็นข้อพิสูจน์ว่ามีการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ ภายใต้ข้อกล่าวหาเรื่องจริยธรรมที่ค่อนข้าง “เปราะบาง”

ความแตกต่างระหว่าง เวทีสภา กับ ศาลรัฐธรรมนูญ ชัดเจนยิ่ง ในสภา ฝ่ายค้านมุ่งโจมตีนโยบายและการบริหาร แต่ในศาล ทุกคำถามจะพุ่งตรงไปที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อตัดสินชี้ชะตา โดยศาลมีอำนาจสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงได้เอง 

หากศาลเห็นว่ามีมูล คำวินิจฉัยอาจนำไปสู่การ ถอดถอนนายกรัฐมนตรี และอาจส่งผลให้ตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมต้องสิ้นสุดลงพร้อมกันทันที หรือพ้นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว

ในทางกลับกัน หากศาลเห็นว่าไม่มีมูล แพทองธารจะยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากสังคมและม็อบรวมพลังแผ่นดินที่ก่อหวอด

ผลสะเทือนทางการเมือง จะขยายวงกว้าง หากมีการถอดถอน อำนาจบริหารของรัฐบาลเพื่อไทยจะเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทันที และการหานายกรัฐมนตรีคนใหม่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่

สำหรับพรรคเพื่อไทย ชะตากรรมของผู้นำหญิงคนนี้เป็นเดิมพันใหญ่ ที่ท้าทายในการที่จะรักษาอำนาจในการคุมเกมทางการเมืองต่อไป

เช่นเดียวกัน คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมสร้างบรรทัดฐานทางด้านกฎหมายและสังคม