สนามเลือกตั้งซ่อมสส.เชียงราย เขต 7 เริ่มเข้าสู่โหมดคึกคัก  เมื่อการต่อสู้รอบนี้ เป็นการพบกันระหว่าง “ค่ายแดง” กับ “ค่ายสีส้ม” วัดกันให้ชัดเจนไปเลย ระหว่าง ฝั่ง “รัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน”

เก้าอี้สส.เชียงราย เขต 7 จำเป็นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อม  เนื่องจาก  “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ที่ต้องหลุดทั้งเก้าอี้ “รองประธานสภาฯ คนที่1” พ่วงด้วยเก้าอี้สส.เชียงราย จากพิษ คดีม.144 ด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ที่ผ่านมา จากกรณีโยกงบใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และปี 2569ไปลงพื้นที่ของตนเอง  อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง

ดังนั้นพิเชษฐ์ จึงไม่เพียงแต่จะหลุดจากเก้าอี้รองประธานสภาฯ และสส.เชียงราย เขต 7 เท่านั้น แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ยังสั่งให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา  10 ปี !

เท่ากับว่า สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย นั้นอาจจะมากกว่า “บาดเจ็บ” เพราะไม่เพียงแต่จะต้องเสีย สส.เขต7 เชียงรายไป แต่อย่าลืมว่า พิเชษฐ์ ยังเป็นสส.เชียงราย ถึง 5สมัย หมายความว่าพรรคเพื่อไทย เสียเจ้าของพื้นที่เดิม จ. เชียงราย

มิหนำซ้ำอย่าลืมว่า สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย กับการรบรา “ฝ่ายค้าน” ในสภาฯ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่ออยู่ในสภาพ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ”  ถูก พรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคประชาชน

และยังพ่วง พรรคฝ่ายแค้น อย่าง “พรรคภูมิใจไทย” เข้ามาเป็น “โจทก์” เพิ่มในสภา ฯ ยิ่งทำให้การถูกเสนอนับองค์ประชุม และปัญหา “สภาล่ม” เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนกลายเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาลผสม เสียงปริ่มน้ำ อย่างที่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น พื้นที่เลือกตั้งสส.เขต 7 เชียงรายรอบนี้ พรรคเพื่อไทยจึงไม่อยู่ในจุดที่ “แพ้” ได้แต่อย่างใด โดยพรรคได้ส่ง “ สง่า พรมเมือง”   ลงสมัคร ผ่านการสกรีนจาก “ยงยุทธ ติยะไพรัช”  แกนนำเพื่อไทย มาแล้ว สำหรับสง่า นั้นเคยเป็นสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต อ.เชียงแสน

ส่วนพรรคประชาชน ส่ง “แม้ว” สุทัศน์ ยาละ ลงสู้ สง่า จากค่ายสีแดง สำหรับสุทัศน์ ไม่ใช่หน้าใหม่ เขาอยู่กับพรรคประชาชน มาตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่  เจ้าตัวทำธุรกิจโรงแรมที่จังหวัดเชียง รวมทั้งยังเป็น ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลหล่ายงาว อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

สนามเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 7 ครั้งนี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคใหญ่ พรรครัฐบาล แต่ไม่ได้หมายความว่า พรรคส้มจะหมดลุ้น หากย้อนกลับไปดู สถิติคะแนนเลือกตั้งสส.เมื่อปี 2566 พบว่า พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ได้คะแนนนำเป็นอันดับ 1 จำนวน 31,588 คะแนน ส่วนอันดับ 2 คือ ประหยัด เสียงดัง จากพรรคประชาชน (เดิมคือพรรคก้าวไกล) ได้ 25,889 คะแนน

และ มิรันตี บุญแก้ว ซึ่งตอนนั้นสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย ได้ 18,153 คะแนน ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมรอบนี้ มิรันตี เคยมีข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะส่งลง แต่สุดท้าย วันปิดรับสมัคร มิรันตี ไม่ได้ไปยื่นใบสมัคร มีรายงานว่าติดปัญหาทางเทคนิค 

สำหรับพรรคประชาชน ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน การได้เก้าอี้สส. เพิ่มขึ้น 1ที่นั่งในสถานการณ์การเมือง ที่ยังต้องลุ้นว่า สภาฯจะอยู่ครบเทอม พอๆกับอายุของรัฐบาลหรือไม่นั้น อาจกดดัน “น้อยกว่า” เมื่อเทียบกับพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในสภาพเสียงปริ่มน้ำ 

แต่ที่ไม่อาจเลี่ยงได้คือผลแพ้-ชนะ จากสนามนี้ กำลังจะกลายเป็นการตอบโจทย์ ทางการเมืองระหว่างรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่จะมีความนิยมของประชาชนเป็นตัววัด !