“วันนอร์” ลั่นเป็นหน้าที่ “วิปรัฐบาล” ทำให้องค์ประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ยันพร้อมสอบปม “สส.” ซื้อตัว 10 กิโลฯ หากมียื่นเรื่องมา“สุชาติ”ลั่นกลางที่ประชุมวุฒิฯ ต้องปราบบริษัทนอมินีต่างชาติ 46,000 แห่งให้เด็ดขาด พร้อมขอสว.เร่งผลักดันกม.ยึดทรัพย์ ส่วน “ภูมิธรรม” มอบอำนาจ “ทนาย” ร้องเรียนมารยาท “ทนาย ทิวา” ปมตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่ดินเขากระโดงแก้ต่างพรรคภูมิใจไทย ด้วยถ้อยคำก้าวร้าว รุนแรง ผิดมรรยาททนายความ ส่วน “ประเสริฐ” ย้ำ “นายกฯอิ๊งค์” ไม่ลาออกก่อนศาลตัดสิน


เมื่อวันที่ 18 ส.ค.68 ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินเยี่ยมชมโรงอาหารแห่งใหม่ และได้มีการพบปะกับพ่อค้าแม่ค้า พร้อมสอบถามถึงราคาอาหารจากนั้นนายวันมูหะมัดนอร์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินเยี่ยมชมโรงอาหารแห่งใหม่ถึงกรณีที่เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ ว่าเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการประสานงาน (วิป) แต่ละฝ่าย เสียงของรัฐบาลก็เป็นหน้าที่ของวิปรัฐบาลที่จะทำอย่างไรให้องค์ประชุมเกินกึ่งหนึ่ง เมื่อมีการประชุมสภาฯ และการประชุมร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2 และ 3 ที่ผ่านมา ก็มีการตรวจสอบองค์ประชุมทุกมาตราและผ่านไปได้ ซึ่งคิดว่าหากมีการประสานงานกันดี ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสส. ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ทุกคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเป็นของตัวเอง และการประชุมสภาก็ดำเนินต่อไปได้

เมื่อถามว่า ที่ราบรื่นผ่านไปได้อาจเป็นเพราะการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ แต่หากเป็นกฎหมายอื่น อาจจะทำให้มีความกังวลหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์  กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯหรือกฎหมายอื่น หากมีการลงมติ ตรวจสอบองค์ประชุมก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น ทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติตาม เพราะรัฐบาลก็มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จะมากหรือน้อยหากมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งก็เป็นองค์ประชุมและลงมติได้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร


เมื่อถามว่า  ที่ผ่านมามีการปิดประชุมก่อน จะทำให้งานด้านนิติบัญญัติล่าช้าหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า หากองค์ประชุมไม่ครบตามข้อกฎหมายหรือข้อบังคับก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการไปได้ ก็ต้องปิดประชุม ซึ่งต้องดูไป โดยในสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดไป จะมีกฎหมายหลายฉบับที่จะเข้ามา ตนคิดว่าหาก็องค์ประชุมมากแต่สมาชิกอยู่ในห้องประชุมไม่ครบ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่หากองค์ประชุมปริ่มน้ำแล้วสมาชิกมาครบเกินกึ่งหนึ่ง เราก็สามารถที่จะดำเนินการไปได้ เป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามปกติเมื่อมีฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล หากรัฐบาลต้องการให้กฎหมายของรัฐบาลผ่าน รัฐบาลก็ต้องดูแลสมาชิกให้เกินกึ่งหนึ่งจะมากหรือน้อยก็ได้

เมื่อถามถึง กรณีมีกระแสข่าวซื้อตัวสส. 10 กิโลนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า อยากให้มีการเปิดเผย ไม่อยากให้มีการอ้ำอึ้ง เพราะเป็นข่าวที่เมื่อปรากฏออกมาทำให้เป็นภาพที่ไม่ดีต่อสมาชิกของสภา เมื่อทราบก็ควรที่จะเปิดเผย แต่หากไม่กล้าเปิดเผยก็ควรที่จะเปิดเผยต่อวิปหรือแกนนำได้  ประธานสภาฯ ก็ยินดีที่จะรับข้อมูลนี้แล้วตรวจสอบให้เพราะเราไม่อยากให้สภาเรามีข่าวเช่นนี้ เนื่องจากข่าวเช่นนี้บางครั้งก็เป็นข่าวที่ไม่จริงเป็นการพูดไปมากันโดยขาดความรับผิดชอบ และคิดว่าเป็นสถานการณ์ที่คงไม่มีใครไปทำอะไรให้เกิดความเสียหาย

เมื่อถามว่า หากมีตัวตนของคนที่มาซื้อจริงๆ จะต้องมีการตรวจสอบกัน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า หากมีหลักฐานยื่นมาเป็นเอกสาร มีตัวตนของผู้ที่ยื่นแล้วจะสามารถที่จะรับผิดชอบได้ ก็ยินดีที่จะตรวจสอบ
เมื่อถามว่า ต้องมีการยื่นข้อมูลไปอย่างเดียวเลยใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า แหล่งข่าวจริงหรือไม่จริง เราไม่รู้ เพราะจากที่ตนเห็นในข่าว ทางฝ่ายสส.เอง เขาก็อยากให้มีการเปิดเผยและตรวจสอบจากผู้ที่อ้างว่ามีโทรศัพท์มาแต่ก็ไม่ได้บอกชื่อ ซึ่งเมื่อไม่มีความชัดเจน เราก็ตรวจสอบไม่ได้ ฉะนั้น จึงอยากให้มีการตรวจสอบให้มีความชัดเจนเพราะข่าวเช่นนี้ทำให้เกิดความเสียหายและหากตรวจสอบแล้วเจอ ก็ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะเดียวกัน ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามของนายชูชีพ เอื้อการณ์ สว.เกี่ยวกับผลกระทบจากปัญหาการค้าปลีกข้ามชาติประเภทการค้าศูนย์เหรียญ ถามนายกฯ โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ชี้แจงแทนนายกฯว่า หลังจากที่มีคำสั่งของนายกฯ ต่อการตั้งคณะกรรมการเพื่อปราบปรามนอมินีที่นักลงทุนต่างชาติใช้ช่องทางกฎหมายหากินบนแผ่นดินไทย ซึ่งจากการทำงาน  8-10 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีธุรกิจกว่า 46,000 บริษัทที่เข้าข่ายนอมินี เช่น ที่ข้างกระทรวงพาณิชย์ พบว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์อาคารหรู บ้านพักติแม่น้ำ  ซึ่งกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์บอบบาง ต้องทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน และขณะนี้ ปปง. เตรียมผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับนอมินี ให้เป็นกฎหมายเข้ามูลฐานความผิดยึดทรัพย์ เช่น กฎหมายฟอกเงิน

รมช.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า ตนขอฝากสว. หากกฎหมายเข้ามาให้ผลักดัน ซึ่งมีประโยชน์กับคนไทย ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ ทำระบบจับตาความเคลื่อนไหวของบัญชีธุรกิจต่างๆ ของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนที่พบว่ามีพฤติกรรมจดทะเบียนซซ้ำซ้อน เช่น เจ้าของคนเดียวกัน 10-20 บริษัท  มีเลขที่อยู่เลขเดียวกัน ซึ่งได้ส่งให้กรมสรรพากตรวจสอบ ส่วนที่กังวลว่าจะตรวจสอบอย่างนั้น ในขั้นตอนสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การเสียภาษี ดูบิลการขาย แต่กรมสรรพากรตรวจสอบไม่เฉพาะบิลการขายเท่านั้น เพราะเมื่อได้รับข้อมูลเรื่องนอมินีแล้ว ต้องเฝ้าระวัง และตรวจสอบ บิลสั่งสินค้าเข้า  ดูสินค้าคงเหลือ ดูผู้ประกอบการข้างเคียง เป็นต้น จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบริษัทที่จดทะเบียน ตามขั้นตอนต้องส่งงบการเงิน 1 ปีหลังจดดทะเบียน แต่ในระบบที่ออกแบบเพื่อตรวจสอบสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหว เช่น การเปลี่ยนเจ้าของ บริษัทนอมินีจำนวนมากที่เจอ  46,000 รายเป็นธุรกิจที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ขณะที่ประเด็นร้านค้าศูนย์เหรียญ  และตรวจสอบโกงดังนั้นเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบและเอาผิด ยึดทรัพย์สินค้าหรือดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ปรับ

“ผมไม่นิยมที่ออกไปทำงานแต่โทษเบาบาง ทำให้พวกที่ทำผิดกฎหมายไม่เกรงกลัว ดังนั้นผมจะทำให้เต็มที่ ผมพยายามทำงานให้รัฐบาล ให้กระทรวงพาณิชย์ ทำงานให้ประชนดีที่สุด ผมไม่สนับสนุนทุนต่างชาติที่เอาเปรียบคนไทยแน่นอน ผมรับผิดชอบดูกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดังนั้นเมื่อมีการตั้งข้อสังเกตแล้ว หากให้ผมลงมาทำแต่ทำไม่ได้ ถือว่าผมทำงานไม่สำเร็จ ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายผมต้องทำให้ได้ และตั้งใจปราบนอมินี เพื่อคนไทยและร้านค้าไทย ทั้งนี้ในการทำงานต้องทำงานควบคู่กับกรมสรรพากร และต้องหารือกับสว.ด้วย” นายสุชาติ กล่าว

ส่วนที่โรงแรมดิ อิมพีเรียล โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โคราช จ.นครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรฝึกอบรมสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพอาชีพ ผู้ทำงานกับเยาวชน (Youth Worker) ตามแนวทางโคราชโมเดล เกี่ยวกับกระแสข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะลาออกจากตำแหน่งก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ในคดีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

โดยนายประเสริฐระบุว่า ขอยืนยันว่ายังไม่มีข่าว น.ส.แพทองธารจะลาออกจากตำแหน่งตามที่เป็นกระแสข่าวปรากฏอยู่ในขณะนี้ ตอนนี้มีเฟคนิวส์เยอะมาก ก็เป็นเรื่องของข่าว แต่ข้อเท็จจริงก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้นายภาคิน จินาภักดิ์ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจ ยื่นร้องเรียนมารยาททนายความ นายทิวา การกระสัง ทนายความชาวบุรีรัมย์ ต่อคณะกรรมการสอบสวนมารยาททนายความ

จากกรณีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องที่ดินเขากระโดง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยนายทิวา การกระสัง ได้ใช้ถ้อยคำและพฤติกรรมที่ข่มขู่ ก้าวร้าว แสดงความคิดเห็นหยาบคาย ขาดจริยธรรม อันเป็นการผิดมารยาททนายความ
นายภาคิน กล่าวว่า ตนได้รับมอบอำนาจจากนายภูมิธรรม ให้ยื่นร้องเรียนมรรยาททนายความของนายทิวา จากกรณีการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เรื่องเขากระโดง โดยเจ้าตัวใช้คำพูดแสดงความก้าวร้าว ข่มขู่ และขาดจริยธรรม รวมทั้งประพฤติผิดมารยาททนายความตามข้อบังคับ นายภูมิธรรมจึงมอบหมายให้ตนดำเนินการยื่นร้องเรียนมารยาท และให้สอบสวนเพื่อมีบทลงโทษ

เมื่อถามว่าผิดข้อมรรยาททนายความข้อใด้บ้าง นายภาคิน กล่าวว่า ข้อที่ระบุเกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมและฝ่าฝืนจริยธรรมอันดีของทนายความ รวมถึงมีประโยคที่ยุยงให้เกิดการเป็นคดีความขึ้น นายภาคิน กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากที่ตนมายื่นเรื่องแล้ว เจ้าหน้าที่จะเสนอต่อประธานมารยาท และอาจจะเรียกนายภูมิธรรมเข้ามาสอบสวนหรือเรียกตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจเข้ามาสอบสวนอีกครั้ง

เมื่อถามว่าปลายทางของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร นายภาคิน กล่าวว่า โทษมีตั้งแต่การพักใช้ใบอนุญาต หรือ เพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนายความ ทั้งนี้การลงโทษเป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการมารยาททนายความ เมื่อถามว่านายทิวา ได้ออกมาทำหนังสือขอโทษนายภูมิธรรมไปแล้ว แต่ทำไมถึงเข้ามาร้องเรียนมารยาทอีก

นายภาคิน กล่าวว่า เรื่องนั้นนายภูมิธรรมทราบแล้ว แต่การกระทำของนายทิวาถือว่าความผิดสำเร็จไปแล้ว เจ้าตัวอาจจะสำนึกในการกระทำของตัวเองแต่ในเมื่อความผิดสำเร็จไปแล้วนายภูมิธรรมจึงใช้สิทธิ์ดำเนินการในเรื่องนี้ เมื่อถามว่านอกจากคดีมารยาท จะมีการดำเนินการทางแพ่งหรืออาญาต่อไปหรือไม่ นายภาคิน กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะมีการดำเนินการฟ้องคดีอาญาหรือแพ่งหรือไม่ แต่ทราบว่าเบื้องต้นจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องมารยาททนายความเพียงเท่านั้น
เมื่อถามว่าคดีมารยาททั้งสองฝ่ายสามารถไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่ นายภาคิน กล่าวว่า คดีมารยาททั้งสองฝ่ายสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ตนยังไม่ทราบว่านายภูมิธรรมจะถอนหรือไม่ถ้านายทิวาเข้ามาขอโทษอีก ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายภูมิธรรม เมื่อถามว่าการร้องเรียนครั้งนี้เป็นการปิดปากไม่ให้พูดประเด็นทางการเมืองหรือไม่ นายภาคิน กล่าวว่า การร้องเรียนมารยาทไม่ใช่การฟ้องคดีแพ่งหรืออาญา ตนยืนยันว่าไม่ใช่การฟ้องเพื่อปิดปากอย่างแน่นอน แต่เป็นการใช้สิทธิ์ขอย้ำว่าบุคคลที่เป็นทนายความจะต้องใช้คำพูดเหมาะสมหรือแสดงพฤติกรรมอะไรจะต้องพึงระวังมากกว่าบุคคลทั่วไปด้วย