ความกังวลต่อคะแนนนิยมที่มีต่อกองทัพกำลังแผ่ขยายไปทั่วปริมณฑลการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดเจน แม้แกนนำรัฐบาลจะพยายามย้ำถึงความเป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพอย่างต่อเนื่อง แต่หลายครั้งที่ท่าทีและการกระทำของฝ่ายการเมืองกลับดูย้อนแย้งกับภาพลักษณ์ที่ต้องการให้สาธารณชนเชื่อมั่นและศรัทธา นี่คือความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญหน้า

แต่ไม่เพียงฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติศรัทธาของประชาชน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย เนื่องจากคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซนคือสารตั้งต้นสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความไว้วางใจของสาธารณะชนที่มีต่อผู้นำและรัฐบาลในปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างอ่อนแอและไม่มั่นคง

ทว่าในฟากของพรรคการเมืองที่อ้างตนว่าเป็นเสรีประชาธิปไตยอย่างพรรคก้าวไกลเอง ก็ไม่สามารถสอดแทรกเข้ามาช่วงชิงคะแนนนิยมจากสถานการณ์วิกฤตนี้ได้อย่างที่คาดหวัง หนำซ้ำความพยายามที่จะดิสเครดิตกองทัพของบางบุคคลหรือบางส่วนในพรรคยังกลับถูกกระแสสังคมโต้กลับอย่างรุนแรง นี่จึงเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับพรรคก้าวไกล เพราะแม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งกว่าแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญความท้าทาย กลับมีกลุ่มพลังมวลชนเข้ามามีบทบาทและแย่งชิงพื้นที่ในกระดานการเมืองด้วย ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนและคาดเดายากยิ่งขึ้นไปอีก

กระทั่งมีบุคคลที่มีชื่อเสียงในฝั่งที่อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตยถึงกับกล่าวประชดประชันว่า ประเทศไทยอาจจะได้ "พล.ท. บุญสิน พาดพลาง" แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นนายกรัฐมนตรี คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความรู้สึกสิ้นหวังและความไม่ไว้วางใจในระบบการเมืองปกติ ที่อาจนำไปสู่การเข้ามามีอำนาจของบุคคลที่อยู่นอกเหนือการเลือกตั้งตามกลไกประชาธิปไตย

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีแกนนำส้มบางคนรีบกระโดดออกมารับลูก และขยายประเด็นที่แม่ทัพภาคที่ 2 ปฏิเสธตำแหน่งทางการเมืองหลังเกษียณ ซึ่งอาจเป็นความพยายามที่จะตอกย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพในอนาคต และเพื่อเชื่อมโยงประเด็นนี้เข้ากับการสร้างความชอบธรรมให้แก่จุดยืนของพรรคตนเอง นี่คือภาพรวมของสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความไม่แน่นอน