โฆษกไทยสร้างไทย ชี้โพลสะท้อนความล้มเหลวการเมืองหลังเลือกตั้ง 66 ชี้คนไทยรอรัฐบาลใหม่เพราะสิ้นหวังฝ่ายบริหาร ย้ำเพื่อไทยหมดความชอบธรรมจัดตั้งรัฐบาล 

นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่าผลสำรวจของนิดาโพลสะท้อนความล้มเหลวของการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นช่วงที่ประชาชนผิดหวังรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ทั้งต่อฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ

โฆษกพรรคไทยสร้างไทย มองว่าความผิดหวังที่ผ่านมามักเกิดจากปัญหาทุจริตและเศรษฐกิจ แต่หลังการเลือกตั้งปี 2566 ความผิดหวังกลับมาจากการที่ทุกฝ่ายการเมืองผิดคำสัญญา ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธา แม้จะเลือกตั้งด้วยความหวัง แต่เพียงสองปีกว่าความหวังกลับพังทลายเพราะนักการเมืองขาดความสุจริต

โฆษกไทยสร้างไทย ย้ำว่าทุกพรรคต้องทบทวนตัวเอง พรรคไทยสร้างไทยมีการปรับทิศทางเน้นผลักดันการเมืองไทยไปสู่การเมืองที่สุจริต ตรงไปตรงมา และเน้นนโยบายที่ทำได้จริง พร้อมเชื่อว่าประชาชนต้องการความจริงใจในการทำงานมากกว่าคำสัญญาที่ไร้ความรับผิดชอบ

นายปริเยศ ปฏิเสธแสดงความเห็นต่อคดีการเมืองที่อยู่ในศาล แต่ระบุว่าไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่ ประเทศก็ไม่ได้อะไรจากการทำงานรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว และหากเป็นผู้นำประเทศอื่นคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามมาจนถึงเวลานี้ ดังนั้นการไม่ลาออกของนายกรัฐมนตรีจึงเท่ากับเป็นบรรทัดฐานของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่พร้อมรับผิดชอบใดๆ ตนมองว่าหากเพื่อไทยยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะสร้างความชอบธรรมคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ผ่านมาแก้ปัญหาเพื่อตัวเองมากกว่าประชาชน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเองก็คงต้องทบทวนท่าทีของแต่ละพรรคในอนาคตเช่นกัน เนื่องจากทุกพรรครัฐบาลมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน. โฆษกไทยสร้างไทยกล่าว 

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา นายทิวา การกระสัง ทนายความ ได้ร่วมทีมทนายความผู้รับผิดชอบในคดีพิพาทที่ดินเขากระโดง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับตอบโต้กระทรวงมหาดไทยที่มีคำสั่งเพิกถอนเอกสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง โดยนายทิวาได้ใช้คำพูดตอบโต้อย่างรุนแรงกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี 

โดยในวันนี้ นายภาคิน จินาภักดิ์ ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เดินทางมายังสภาทนายความ เพื่อยื่นร้องเรียนมรรยาททนายความของนายทิวา การกระสัง ต่อคณะกรรมการสอบสวนมรรยาททนายความ 

ซึ่งทางนายภาคินเปิดเผยว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า นายทิวาได้ใช้คำพูดที่ก้าวร้าวและข่มขู่นายภูมิธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า จะฟ้องร้องดำเนินคดีให้นายภูมิธรรมถูกจำคุก 5,000 ปี และใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่านายภูมิธรรมอย่างรุนแรง 

พฤติกรรมดังกล่าวของนายทิวา ถือว่าขัดต่อข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ 2529 ในเรื่องของการประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีและจริยธรรม รวมทั้งเป็นกระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน นั่นจะทำให้นายภูมิธรรมมอบอำนาจให้ตนมาร้องต่อคณะกรรมการมรรยาททนายความเพื่อเอาผิดนายทิวา 

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่สภาทนายความจะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการมรรยาททนายความ เพื่อดำเนินการสอบสวนและแจ้งให้ทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ส่วนระยะเวลาการสอบสวนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคู่กรณีว่าจะเข้ามาชี้แจงกับคณะกรรมการเมื่อไหร่ 

ส่วนของปลายทางการสอบสวนมรรยาททนายความ จะมีการลงโทษ 3 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์ ห้ามการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี  และลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ ซึ่งเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการมรรยาททนายความว่าดำเนินการพิจารณาลงโทษอย่างไร 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ก่อนหน้านี้นายทิวาได้ทำหนังสือจดหมายขอโทษไปยังนายภูมิธรรมแล้ว แต่ทำไมยังต้องมาร้องมรรยาททนายความอีก นายภาคินระบุว่า นายภูมิธรรมรับทราบแล้วว่านายทิวาได้ทำหนังสือขอโทษและเข้าใจดีว่านายทิวาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป แต่ความผิดที่นายทิวาทำสำเร็จแล้ว จึงเห็นควรที่ต้องร้องให้สภาทนายความพิจารณาเรื่องมรรยาททนายความกับนายทิวา 

ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งหรืออาญากับนายทิวาหรือไม่นั้น ตอนนี้นายภูมิธรรมยังไม่ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่าควรร้องเรื่องมรรยาททนายความก่อน อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการร้องมรรยาททนายความนั้น สามารถถอนคำร้องได้ แต่ขึ้นกับดุลพินิจของนายภูมิธรรมว่าจะพิจารณาอย่างไร 

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเพิ่มเติมอีกว่า การยื่นมรรยาททนายความครั้งนี้นั้น เป็นการส่งนัยยะสื่อถึงฟ้องปิดปากไปยังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือไม่ นายภาคินระบุว่า ขอให้เข้าใจว่านี่เป็นการยื่นมรรยาททนายความ ไม่ใช่เป็นการฟ้องดำเนินคดีทางแพ่งหรืออาญา จึงไม่ใช่เป็นการยื่นเรื่องเพื่อปิดปากแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายของผู้ที่ได้รับความเสียหาย