การลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณปี 2569 ที่มีเสียงฝ่ายค้านโหวตหนุนรัฐบาล 8 เสียง สะท้อนถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทยในการคุมเกมการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะวินิจฉัยชะตากรรมของ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในคดีถอดถอนจากตำแหน่ง
แม้จะมีการคาดการณ์ว่า แพทองธาร อาจลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ล่าสุดมีสัญญาณว่าเธอยังคงสู้ต่อ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสข่าวนี้ ได้เกิดการเคลื่อนไหวของ "ดีลใหม่" ที่อาจเห็นพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หาก แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เงื่อนไขสำคัญของดีลนี้คือ การมี "คนกลาง" มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเชื่อมโยงพรรค "แดง" (เพื่อไทย) และ "น้ำเงิน" (ภูมิใจไทย) เข้าด้วยกันอีกครั้ง บุคคลที่ถูกจับตาว่าเป็นผู้ที่จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้คือ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ซึ่งมีบารมีและประสบการณ์ทางการเมือง
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ดีลนี้ยังไม่ลงตัวคือ การเจรจาเรื่อง โควต้ารัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเสนอโควตาให้พรรคภูมิใจไทยเพียง 4 เก้าอี้ จากเดิมที่เคยได้รับ 8 เก้าอี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคขนาดใหญ่และมีอำนาจต่อรองสูงในปัจจุบัน ยากที่จะยอมรับได้
ก่อนหน้านี้ แม้ทั้งสองพรรคมีความขัดแย้งรุนแรงและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในเกมของการจัดตั้งรัฐบาลและผลประโยชน์ทางการเมือง คำว่า “มิตรแท้ ศัตรูถาวร” มักจะเลือนหายไปเสมอ หากสถานการณ์พลิกผันจนแพทองธารไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้จริง การแสวงหา “คนกลาง” มาสมานรอยร้าวและสร้างความร่วมมือจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ
ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในฐานะ "คนกลาง" นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยยังมีชื่อเป็น “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกอบกับบารมีและประสบการณ์ทางการเมืองที่สั่งสมมา ท่านอาจถูกมองว่าเป็นบุคคลที่สามารถได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย รวมถึงการเป็นสะพานเชื่อมโยงกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดแตกต่างกันให้มาร่วมงานกันได้
อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางที่ทุกฝ่ายพึงพอใจในเรื่องโควต้ารัฐมนตรีได้ ดีลนี้ก็อาจล่มลงในที่สุด