โพลนักธุรกิจ 82.4% ต้องการเห็นการเมืองเปลี่ยนแปลง ชี้พรรคใหญ่มุ้งเยอะขัดแย้งสูง-ห่างเหินธุรกิจรากหญ้า หันเทใจพรรคเล็ก อาร์ท-เอกสิทธิ์ ปวงชนไทยได้ครองกระตุ้น SMEs - ท่องเที่ยว ขณะที่ 'ดร.เอ้'ยังเหนียวการศึกษา 'เสรีพิศุทธ์'คว้าความปลอดภัย 'หมอวรงค์'ซื่อสัตย์ 'สุดารัตน์'นำโด่งประสบการณ์การเมือง
วันที่ 17 ส.ค.2568 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง โพลนักธุรกิจ นักลงทุน คิดอย่างไรต่อ พรรคการเมือง จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจ นักลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ การค้า และการผลิตทั่วประเทศจำนวน 450 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10 - 16 ส.ค.2568
รายงานของซูเปอร์โพลพบว่า ภาคธุรกิจมีมุมมองวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในหลายมิติ โดย 74.3% เห็นว่าพรรคใหญ่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ, 70.9% เห็นว่าพรรคใหญ่ถูกหนุนหลังโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่, และ 68.8% เห็นว่าพรรคใหญ่ไม่สะท้อนเสียงของธุรกิจ SMEs ที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภาคธุรกิจ ไม่พึงพอใจต่อการเมืองแบบรวมศูนย์และผูกขาด และเปิดพื้นที่ให้พรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่เข้ามาเป็นทางเลือกที่ใกล้ชิดกับเศรษฐกิจจริงมากกว่า
รายงานของซูเปอร์โพลพบด้วยว่า ร้อยละ 82.4 ของนักธุรกิจและนักลงทุน แสดงความต้องการอย่างชัดเจนที่จะเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะที่มีเพียง ร้อยละ 9.5 ที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และอีก ร้อยละ 8.1 ไม่มีความเห็นในประเด็นดังกล่าว ตัวเลขเชิงสถิติที่ปรากฏนี้มิได้เป็นเพียงการบ่งชี้เชิงปริมาณเท่านั้น หากยังสะท้อนถึง “กระแสความรู้สึกส่วนรวม” ของกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งกำลังเรียกร้องการปรับตัวของระบบการเมืองไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลสำรวจของซูเปอร์โพลแสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองเล็กและพรรคเกิดใหม่กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะ พรรคปวงชนไทย ที่มีคะแนนนำในหลายประเด็น เช่น สภาพคล่อง SMEs และสตาร์ทอัพ: ปวงชนไทย (37.6%) นำหน้าไทยสร้างไทย (31.8%) และไทยก้าวใหม่ (31.2%) ความเข้มแข็งของ SMEs: ปวงชนไทย (45.6%) นำเหนือไทยก้าวใหม่ (43.8%) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ปวงชนไทย (45.8%) นำหน้าไทยก้าวใหม่ (45.2%) พลังงานสะอาดและลดต้นทุนโลจิสติกส์: ปวงชนไทย (42.6%) นำหน้าไทยก้าวใหม่ (41.3%) ในขณะที่ ไทยสร้างไทย และ เสรีรวมไทย ก็มีความโดดเด่นในบางประเด็น เช่น การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นี่สะท้อนว่าพรรคเล็กกำลังถูกมองว่า “มีบทบาทเชิงนโยบาย” ที่จับต้องได้ แตกต่างจากภาพลักษณ์พรรคใหญ่ที่ถูกวิจารณ์หนัก
ที่น่าสนใจ คือ ผลการสำรวจภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคเกิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า นักธุรกิจและนักลงทุนมีการเชื่อมโยงคุณลักษณะของผู้นำกับบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการเข้าถึงกลุ่มธุรกิจ
ในมิติ ประสบการณ์ด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ พบว่า เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ได้รับการยอมรับสูงสุด ร้อยละ 38.9 สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้นำที่มีพื้นฐานจากการปฏิบัติจริงในแวดวงธุรกิจ ตามมาด้วย สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร้อยละ 36.5 และ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 32.5 ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้นำรุ่นใหม่ที่มีรากฐานจากภาคธุรกิจเริ่มเป็นที่จับตามองของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทางเศรษฐกิจ
ในด้าน ความใกล้ชิดกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ยังคงนำหน้า ร้อยละ 47.2 โดยมีสุชัชวีร์ (ร้อยละ 45.9) และสุดารัตน์ (ร้อยละ 44.8) ติดตามมาอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับด้าน ความสามารถในการเข้าถึงและเป็นที่ยอมรับในภาคธุรกิจ ซึ่งเอกสิทธิ์ได้รับคะแนนสูงที่สุด ร้อยละ 48.9 ขณะที่สุชัชวีร์ (ร้อยละ 47.3) และสุดารัตน์ (ร้อยละ 45.3) ได้คะแนนตามลำดับ สะท้อนว่าผู้นำที่สามารถสร้าง “ความใกล้ชิด” และ “ความเชื่อมโยง” กับกลุ่มธุรกิจจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในยุคที่ภาคเศรษฐกิจต้องการพันธมิตรทางการเมืองที่ตอบสนองปัญหาได้รวดเร็ว
ด้านการดูแลแรงงานและสวัสดิการ ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล (ร้อยละ 42.9) มีความได้เปรียบเหนือสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ร้อยละ 41.0) และสะท้อนบทบาทของผู้นำที่ถูกมองว่าสามารถเชื่อมโยงประเด็นการคุ้มครองแรงงานเข้ากับผลประโยชน์ของภาคธุรกิจได้อย่างสมดุล
อย่างไรก็ตาม ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ ความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และ ประสบการณ์ทางการเมือง กลับเป็นชื่อของนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ยังคงมีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับสูงกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ทุนทางการเมือง” ที่สั่งสมมายาวนานและภาพลักษณ์ที่ยังคงมีอิทธิพลในกลุ่มธุรกิจและนักลงทุนบางส่วน
รายงานของซูเปอร์โพลนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้นำพรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ เริ่มได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ความสามารถทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงกลุ่มทุนจริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น แต่ในขณะเดียวกัน คุณลักษณะด้านความน่าเชื่อถือทางการเมืองและคุณธรรมจริยธรรม ยังคงเป็นพื้นที่ที่ผู้นำรุ่นใหม่จำเป็นต้องพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น หากต้องการก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกสำคัญของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต
เมื่อพิจารณาในมิติทางสังคมการเมือง ผลสำรวจดังกล่าวสามารถตีความได้ว่า ภาคธุรกิจและการลงทุนมิได้เพียงมุ่งหวังความต่อเนื่องหรือเสถียรภาพแบบเดิม หากแต่ต้องการ “การเมืองใหม่” (New Politics) ที่มีความโปร่งใส ยึดโยงกับความต้องการของประชาชน และสามารถตอบสนองต่อพลวัตเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันในระดับสากลได้ดีกว่าระบบที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน การที่เสียงส่วนใหญ่มีทิศทางไปในแนวเดียวกันเช่นนี้ จึงถือเป็นแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่พรรคการเมืองทุกฝ่ายจำเป็นต้องตระหนัก และปรับยุทธศาสตร์เพื่อสอดรับกับความคาดหวังของกลุ่มทุนธุรกิจและนักลงทุน ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ผู้มีส่วนได้เสียหลัก” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะต่อไป