ไวยาวัจกรวัดฝ่ายกฎหมายวัดเครือวัลย์ ตั้งโต๊ะชี้แจงการดำเนินคดีกับอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท
วันที่ 16 ส.ค.68 ไวยาวัจกรวัดฝ่ายกฎหมาย ตั้งโต๊ะชี้แจง กรณีที่มีบุคคลภายในวัดปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร ไปถอนเงินออกจากบัญชีวัดกว่า 240 ครั้ง ยักยอกเงินกว่า 56 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 67 ที่ผ่านมา ในส่วนการดำเนินการขณะนี้แบ่งเป็น 3 คดี
คดีแรก พบการกระทำความผิดคือเมื่อเดือนเมษายน 2567 ทางวัดได้รับบริจาคจากกองทัพเรือเป็นแคชเชียร์เช็ค 1.5 ล้านบาท ลงวันที่ 10 เมษายน 2567 โดยในแคชเชียร์เช็คระบุว่ามอบให้ทางวัด จึงต้องเอาเข้าบัญชีวัด ทางเจ้าอาวาสจึงมีการมอบให้นายกฤษณ์ ที่เป็นไวยาวัจกรวัดในตอนนั้น เอาแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินและเอาเข้ายังบัญชีของวัด / ต่อมาทางเจ้าอาวาสได้ทวงถามไปยังนายกฤษณ์ เพราะในขณะนั้นจำเป็นจะต้องบูรณะศาสนสถาน แต่นายกฤษณ์อ้างว่าไม่ว่าง และได้มอบหมายให้นายชัยณรงค์ซึ่งเป็นผู้ช่วยไวยาวัจกรในตอนนั้นนำเงินไปเข้าธนาคาร ทางเจ้าอาวาสเลยมีการติดต่อไปยังนายชัยณรงค์เพื่อทวงถามเรื่องเงิน แต่ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด/ ทางวัดเลยให้นายกฤษณ์เข้ามาที่วัดเพื่อจะสอบถามเรื่องเงิน แต่ก็ไม่สามารถชี้แจงได้โดยอ้างว่าบัญชีนี้อยู่กับนายชัยณรงค์ ในการจัดการดูแลเบิกถอนเงินในการบูรณะปฏิสังขรณ์ภายในวัด จากนั้นทางวัดได้ไปขอรายงานการเดินบัญชีพบว่ามีการถอนเงินไปทั้งหมด 6 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. มีการถอนเงิน 290,000 บาท / 14 เม.ย. มีการถอนเงิน 289,000 บาท / 17 เม.ย. 294,000 บาท / 20 เม.ย. 284,000 บาท / 23 เม.ย. 160,000 บาท และ 28 เมษายน 200,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 1,520,000 บาท
นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังพบว่า นายชัยณรงค์มีการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีวัดไปทั้งหมดกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ได้สรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการ และทางพนักงานอัยการอยู่ระหว่างสรุปสำนวนส่งฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ซึ่งคดีพยานหลักฐานไม่สามารถดำเนินคดีกับนายกฤษณ์ได้
ในส่วนคดีที่ 2 จากการกระทำผิดของชัยณรงค์เกิดขึ้น ก็ได้มีการไล่เอกสารทั้งหมด มีการไปขอ statement จากธนาคาร พบว่าประมาณเดือน มกราคม 64 นายชัยณรงค์ได้มอบแคชเชียร์เช็คลงวันที่ 12 มกราคม 64 จำนวน 1 ล้านบาท และเงินสดกว่า 270,000 บาทให้กับนายกฤษณ์ เพื่อนำเข้าบัญชีธนาคารในนามวัด เป็นปัจจัยในการบำรุงอาคารเก็บรักษากระดูกคนตาย เป็นบัญชีเงินฝากประจำ แต่เมื่อตรวจสอบย้อนหลังปรากฏว่าไม่มีการนำฝากเงินเลย เจ้าหน้าที่จึงมีการดำเนินคดีกับนายกฤษณ์ในฐาน เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ไปเป็นของตนเองโดยทุจริต แจ้งความไว้เมื่อ 11 ตุลาคม 2567 ตอนนี้กองบังคับการกองปราบปรามได้รวบรวมพยานบุคคลและพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง และสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการแล้ว
ในคดีที่ 3 ได้มีการไปขอ statement ย้อนหลังทุกธนาคาร ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2567 พบว่ามีการทำธุรกรรมผิดปกติ 4 บัญชี โดยมีการเบิกถอนเงินวันเว้นวัน รวม 240 ครั้ง โดยพบว่าเป็นการปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส เนื่องจากได้มีการส่งตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานเรียบร้อยแล้ว โดยแต่ละครั้งที่มีการถอนเงินจะถอนในยอดเงินที่ไม่เกิน 300,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของทางธนาคารที่ระบุไว้ว่า หากมีการเบิกเงิน 300,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีการโทรเช็คกับทางเจ้าของบัญชีร่วม ซึ่งนายกฤษณ์จะทราบดีเพราะอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร จึงทำให้การเบิกจ่ายแต่ละครั้งไม่มีคนสงสัย
อีกทั้งนายชัยณรงค์ได้มีการเปลี่ยนแปลงเอกสาร ในการเบิกจ่ายของบัญชีวัด โดยชื่อเดิมที่มีอำนาจเป็นชื่อของนายกฤษณ์กับเจ้าอาวาส แต่นายชัยณรงค์ได้ไปเปลี่ยนให้เป็นชื่อตัวเองมีอำนาจในการเบิกจ่ายเงินซึ่งคดีนี้ได้ดำเนินคดี กับนายกฤษณ์และชัยณรงค์ ในฐานความผิดลักทรัพย์, ยักยอกทรัพย์ และใช้เอกสารปลอม ซึ่งทางตำรวจกองปราบอยู่ระหว่างรวบรวมพยาน
หลักฐาน
โดยสรุป ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีการยักยอกเงินวัดไปทั้งหมด 56 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด / รวมทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. สามารถอายัดทรัพย์สิน ของ 2 ผู้ต้องหาได้ 15-16 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นของนายกฤษณ์ เป็นที่ดินย่านถนนเพชรบุรี มีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังชื่อญาติของนายชัยณรงค์ครอบครองบ้าน และคอนโด ย่านบางใหญ่ ส่วนเงินสด 1-2 ล้านบาท เป็นของนายชัยณรงค์ ที่ยึดอายัดไว้ ส่วนเงินอีกกว่า 40 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลของเส้นทางการเงิน ที่ ปปง.เป็นผู้รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุการณ์ ทางสมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร ได้มีการมอบหมายให้ทีมไวยาวัจกรวัดชุดใหม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเรื่องก็รู้สึกไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบทเรียน เพราะคนที่ก่อเหตุ เป็นเสมือนญาติ ที่คอยดูแลกันมานาน แต่กลับมาเกิดเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นก็อยากจะเดินหน้าแก้ปัญหา
สำหรับกระแสข่าวที่บอกว่ามีผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 2 คน จากการตรวจสอบพยานหลักฐานไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้อื่นได้ มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 2 คนนี้ได้เท่านั้น