งบประมาณปี 2569 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเมืองและท้องถิ่น ไม่เพียงเพราะวงเงินรวมเพิ่มขึ้นกว่า 3% แต่ยังมีปมขัดแย้งจากการพิจารณางบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 42,000 ล้านบาท ที่ยังคงค้างอยู่ในขั้นทบทวน พร้อมเสียงสะท้อนจากนักการเมืองระดับสูง, สมาคม อบต.แห่งประเทศไทย และนักวิชาการ ที่มองทั้งมิติความเป็นธรรม ความโปร่งใส และการกระจายอำนาจ

งบท้องถิ่นปี 2569 – ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่ปัญหายังเหมือนเดิม ภาพรวมงบรายจ่ายประจำปี 2569 ของประเทศอยู่ที่ 3,780,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย งบท้องถิ่นรวมประมาณ 202,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% กระจายให้ทุกประเภทอปท. ได้แก่

กรุงเทพมหานคร: 29,321.1 ล้านบาท (+5.4%)

เมืองพัทยา: 2,403.0 ล้านบาท (+1.5%)

อบจ.: 31,555.3 ล้านบาท (+4.1%)

เทศบาลนคร: 18,645.7 ล้านบาท (+4.2%)

เทศบาลเมือง: 33,492.1 ล้านบาท (+3.1%)

เทศบาลตำบล: 86,996.7 ล้านบาท (+2.3%)

แม้จะเป็นตัวเลขบวก แต่กระบวนการจัดสรรและการใช้จ่ายยังคงถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะงบ “อุดหนุนเฉพาะกิจ” ที่หลายฝ่ายมองว่ามีการกระจุกตัวในบางจังหวัด

ปมร้อน 4.2 หมื่นล้าน – ระหว่างทบทวน

งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท มีส่วนที่จัดสรรให้ท้องถิ่นราว 42,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นทบทวนของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยอมรับว่า หากมีการปรับลดงบจริง ต้องหามาตรการเยียวยาเพื่อไม่ให้ท้องถิ่นเสียกำลังใจ และยืนยันว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุผลการตัดสินใจอย่างรอบด้าน

เดชอิศม์ ชี้ปัญหากระจุกตัว – ต้องหางบใหม่ให้ท้องถิ่น

นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย เปิดเผยว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจบางส่วนกระจุกตัวผิดปกติ เช่น อบต.เล็กๆ ได้งบสูงถึง 169 ล้านบาท มากกว่าจังหวัดทั้งจังหวัดรวมกัน จึงควรเกลี่ยงบให้เท่าเทียม เมื่อถูกถามถึงการโอนงบ 4.2 หมื่นล้านไปแก้ปัญหาภาษีทรัมป์ เขาตอบว่าต้องหางบอื่นมาทดแทน เช่น งบกลาง เพราะท้องถิ่นจำเป็นต้องมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน การกระจายอำนาจจะเกิดผลจริงได้ ต้องกระจายทั้ง “เงิน คน และกฎระเบียบ”

สถ.ปฏิเสธข่าว “งบกระจุก”

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ชี้แจงว่า การจัดสรรงบ 157,000 ล้านบาท เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเหมาะสม ปฏิเสธข่าวลือว่ามี อบต.ในบางจังหวัดได้งบถึง 700 ล้านบาท

สมาคม อบต.แห่งประเทศไทย ลุกขึ้นท้วง – ชี้ตัดงบไม่เป็นธรรม

รศ.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคม อบต.แห่งประเทศไทย เผยว่า ติดตามความคืบหน้างบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบอุดหนุนเฉพาะกิจที่ท้องถิ่นส่งโครงการไปยัง สถ. แต่เรื่องกลับเงียบ จึงนำคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าพบ รมช.มหาดไทย เพื่อขอความชัดเจน

เขากล่าวว่า รมช.มหาดไทยยืนยันไม่ต้องการยกเลิกงบ แต่จะเกลี่ยให้ท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับ อย่างไรก็ตาม จากงบที่ขอ 200,000 ล้านบาท ถูกตัดเหลือ 157,000 ล้านบาท และในนั้นให้ท้องถิ่นเพียง 40,000 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังนำงบส่วนนี้ไปใช้แก้ปัญหาภาษีทรัมป์ ซึ่งสมาคมฯ เห็นว่าไม่ถูกต้อง

รศ.วิระศักดิ์ ยังระบุว่า มีคำสั่งตัดงบท้องถิ่นเพิ่ม 5,000 ล้านบาท แต่สมาคมฯ ต่อสู้จนเหลือตัดเพียง 1,400 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ทำให้ อบต. 5,300 แห่งทั่วประเทศขวัญเสีย และเตรียมทำหนังสือเสนอแก้ปัญหา โดยให้จัดสรรงบอุดหนุนเฉพาะกิจน้อยกว่างบอุดหนุนทั่วไป พร้อมเร่งรัดติดตามงบคืนสู่ท้องถิ่น และอาจมีการเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้

นักวิชาการ–องค์กรอิสระ เสนอทางออก

Think Forward Center: เพิ่มอำนาจการจัดงบให้อปท. พร้อมจัดงบให้ประชาชนร่วมกำหนด (Participatory Budgeting) และตั้งเป้างบท้องถิ่น 30% ของภาษีทั้งประเทศ

มหาวิทยาลัยบูรพา: ถ่ายโอนอำนาจพร้อมทรัพยากร เพราะแม้อปท.มีอิสระด้านงบ แต่ขาดอิสระด้านบุคลากรและภารกิจ

งานวิจัยเชียงใหม่: กระจายอำนาจทางการคลังเป็นรากฐานประชาธิปไตย แต่อปท.ยังเผชิญข้อจำกัดด้านความมั่นคงทางการคลัง

นิตยสารผู้นำท้องถิ่น: ชี้ไทยยังรวมศูนย์ ต่างจากประเทศที่ให้อิสระท้องถิ่นจริง เช่น ญี่ปุ่น

PunchUp Projects: อปท.ไทยเก็บภาษีเองได้ไม่ถึง 10% ของงบทั้งหมด ต้องพึ่งงบรัฐ และถูกจำกัดการหารายได้

ปฏิทินงบปี 2569 และนโยบายเงินสะสม กระทรวงมหาดไทยกำหนดเส้นตาย เสนอร่างงบภายใน 15 ส.ค., สภาท้องถิ่นพิจารณาภายใน 31 ส.ค., ผู้ว่าฯ หรือ นายอำเภออนุมัติภายใน 20 ก.ย., และประกาศใช้ข้อบัญญัติภายใน 30 ก.ย. รัฐบาลยังมีแนวนโยบายใช้เงินสะสมและรายได้นอกงบของหน่วยงาน รวมถึงอปท.ซึ่งมีเงินสะสมรวมกว่า 780,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนโยบายประชานิยม

ตัวเลขเพิ่มขึ้น แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่ แม้งบท้องถิ่นปี 2569 จะเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ประเด็นการจัดสรรที่เป็นธรรม ความโปร่งใส และความสอดคล้องกับการกระจายอำนาจ ยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องแก้ไข ปมงบ 4.2 หมื่นล้านจะเป็นบททดสอบสำคัญว่ารัฐบาลจะรักษาสมดุลระหว่างนโยบายระดับชาติและความต้องการของพื้นที่ได้เพียงใด