ถกงบฯ69 วันที่ 2“ปชน.”ซัดงบฯก.เกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์คนไทย ฉะ”ล้งแห่งชาติ” อ.ต.ก. ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ด้าน“กรวีร์” จี้ถาม “งบกรมชลประทาน” 4 หมื่นล้าน วางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วม – น้ำแล้ง ยั่งยืนด้วยหรือไม่ กังขา “งบกรมการข้าว” ส่วนใหญ่เป็นงบครุภัณฑ์ – สิ่งปลูกสร้าง เหลือพัฒนาเมล็พันธุ์ข้าวช่วยเกษตรกรไม่กี่ร้อยล้าน ส่วน “อุ๊งอิ๊งค์” เข้าสภา บอก 21 ส.ค. “ศาลรธน.” นัดไต่สวนตรงวันเกิดพอดี “ภูมิธรรม” ย้ำ “นายกฯอิ๊งค์” ใช้ความตั้งใจจริงพิสูจน์ "ศาลรธน." เชื่อมีเจตนาดีกับประเทศ ยังไม่มีแผนสำรอง ยัน “รบ.- พท.” ไม่ระส่ำ

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 68 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำตัดสินคดีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา วันที่ 29 ส.ค. รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมีการเตรียมความพร้อมอย่างไรว่า เราเชื่อมั่นในความตั้งใจจริงของนายกฯ เราคิดว่า เรื่องนี้หากดูในเนื้อหาทั้งหมดไม่ได้มีเจตนาที่จะนำไปสู่สิ่งนั้น ซึ่งคิดว่าเราอาศัยความตั้งใจจริงของนายกฯ แสดงให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาว่า เราตั้งใจจริงอย่างไร และที่ผ่านมาการที่บอกว่า จะมีปัญหาและทำลายความมั่นคงก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่หลายคนกังวลใจ เพราะหากฟังในคลิปเสียงจริงๆ กัมพูชามีการต่อรองให้เปิดด่าน หลังเขาเปิด 5 ชั่วโมง และยืนยันว่าเราทำไม่ได้ 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกฯ ได้มีการพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพตลอดเวลาว่า ได้มีการพูดคุยอะไรกับฮุนเซนบ้าง เพราะฉะนั้นความจริงใจและความตั้งใจเป็นเรื่องที่สำคัญ และหากพิจารณาในสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศกัมพูชาเลย เรายังถือว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่รุกรานเรา และเรายังสนับสนุนให้มีการรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นนี่คือการแสดงออกที่ชัดเจน


ส่วนสาเหตุที่เกิดความไม่เข้าใจบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรามองเห็นต่างกัน ซึ่งเรามีหน้าที่ในการชี้แจงความเข้าใจหลายเรื่องที่ช้าก็เป็นเรื่องของกระบวนการที่ช้าจริง ซึ่งเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์มาเราก็จะรับฟังและแก้ปัญหา และหลายเรื่อง สิ่งที่เราทำเราต้องการครองความเข้าใจของเวทีโลก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะพูดออกมาแต่ละครั้งต้องยึดมั่นข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพราะทุกคำพูดและท่าทีของรัฐบาล ก็จะนำไปประกอบในกฎหมายระหว่างประเทศ


เมื่อถามว่า มีแผนสำรองอย่างไรในเรื่องนี้หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกฯ หรือลาออกก่อนในวันที่ 29 ส.ค. นายภูมิธรรม กล่าวว่า  วันนี้เราแสดงความจริงใจ ตั้งใจจริงของนายกฯ ให้ทุกส่วนเข้าใจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็มีกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ก็คงไม่ต้องเตรียมอะไร 

เมื่อถามว่า สภาพจิตใจของรัฐบาลและเพื่อไทยมีความระส่ำ หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนรู้ว่าวันนี้ทุกคนมีความเข้มแข็งรู้ว่าวันนี้อะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบางเรื่องเป็นเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมหรือกำหนดได้ เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ ทำความจริงให้ประจักษ์ แสดงความจริงใจ และความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเป็นสำคัญ 

เมื่อถามว่า การที่นายกฯ ขอเบิกพยานบุคคล 5 คน แต่ศาลให้ไต่สวนพยานบุคคลเพียงหนึ่งคนเป็นผลบวกหรือผลลบ กับนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่เป็นไร อยู่ในดุลพินิจของศาล ความมั่นคงท่านมุ่งเป้าไปที่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็มีเหตุมีผล 

เมื่อถามย้ำว่า ยังคงเชื่อมั่นว่านายกฯ จะยังไม่ลาออกก่อนวันที่ 29 ส.ค. ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มันไม่เคยมีการคุยเรื่องนี้

ส่วนที่อาคารรัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมรับฟังการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2และวาระ 3 ในวันที่สอง  โดยมีรัฐมนตรีและสส.ของพรรค ร่วมต้อนรับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 21 ส.ค. ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวน คดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะเดินทางไปด้วยตัวเองหรือไม่ โดยน.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันที่ 21 ส.ค.วันเกิดพอดี


เมื่อถามต่อว่า จะให้ความมั่นใจกับประชาชน และสส.ของพรรคได้หรือไม่ว่าจะอยู่จนวินาทีสุดท้ายหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามดังกล่าวก่อนเดินขึ้นไปภายในอาคารรัฐสภา

ขณะเดียวกัน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2 เป็นวันที่สอง เริ่มพิจารณามาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ โดยนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณในส่วนขององค์การตลาาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ว่า  มีสองโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ

นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบ69 อ.ต.ก. ของบทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท ตนขอถามตรงๆว่าทำไมลงต้องลงไปที่ จ.พะเยา ทำไมต้องกระจุกงบประมาณไปที่จังหวัดเดียว ในเมื่อภาษีเป็นของคนทั้งประเทศ และภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด แต่กลับทุ่มงบประมาณหลายสอบล้านบาทไปที่ตลาดกลางเพียงจังหวัดเดียว และเมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของจ.พะเยาไปยังประเทศลาว ต่ำกว่าจ.เชียงรายและน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาว นำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8 %เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่จ.เชียงรายและน่านไม่ใช่ที่จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า


“คำถามคือใครได้ประโยชน์จากการเลือกโครงการที่ลงที่จ.พะเยา การเลือกครั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจจริงๆ หรือการเมือง เพราะหากจะสร้างตลาดกลางที่ภาคเหนือจริงๆต้องกระจายไปหลายจังหวัด เชื่อมโยงกันด้วยระบบโลจิสติกส์และการส่งขนส่งเย็น ไม่ใช่ปักเสาหลักกองเดียว แล้วบอกว่านี่คือโครงการเพื่อพี่น้องทั้งภูมิภาค และถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะเสี่ยงต่อการเป็นตลาดผูกขาด เกษตรกรจังหวัดอื่นต้องแบกภาระต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องขายสินค้าให้คนกลางในราคาถูกอยู่ดี ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นตลาดล้างทำให้ภาษีของประชาชนหลาย

นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก.ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก.ทำหน้าที่เป็น เอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯโครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติ คือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุดงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวงของโครงการ ตนจึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงกานี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุดและตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้

ต่อมาเวลา 11.15 น. นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า งบของกรมการข้าว วงเงิน 3.8 พันล้านบาท เงินก้อนใหญ่อยู่ที่แผนยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า 3.3 พันล้านบาท เป็นโครงการพัฒนาพันธุ์ข้าว เกือบ 2 พันล้านบาท และโครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว เกือบ 1.7 พันล้านบาท ตนจะไม่แปลกใจถ้าเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกรในการลดทุน แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของงบประมาณ พบว่าส่วนใหญ่เป็นงบครุภัณฑ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้าง เหลือเนื้องานจริงๆ ที่จะทำเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่กีร้อยล้านบาท ตนอยากเห็นเงินส่วนนี้ลงไปถึงชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เกิดการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้มากกว่านี้

นอกจากนี้ งบประมาณส่วนของกรมชลประทาน วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบก้อนใหญ่ที่สุด คนทั้งประเทศอยากเห็นการแก้ปัญหาภาพรวมเรื่องน้ำ รวมถึงแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซาก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหลายพื้นที่จะเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม ถามว่าการจัดสรรงบประมาณส่วนนี้ มีแผนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนด้วยหรือไม่