นายสุวรงค์ วงษ์ศิริ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวถึงการจัดงาน ‘มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568’ ( NST Fair 2025) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดต่อเนื่องตลอด 9 วันนั้น นอกจากจะมีการนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ จาก อพวช. หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว ยังมีพื้นที่ให้เยาวชนได้นำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเป็นตัวแทนเด็ก ๆ จากกิจกรรมชุมชนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่ผ่านการคัดเลือก แบ่งเป็นสาขากายภาพและสาขาชีวภาพ
“ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนใหญ่จะเป็นการสังเกตสิ่งรอบตัวและนำสิ่งเหล่านั้นมาทดลองเพื่อค้นหาคำตอบ ซึ่งตรงกับแนวคิดที่ อพวช.อยากให้เกิดขึ้นคือ “วิทยาศาสตร์เป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต” ซึ่งหมายถึงการมองวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือสร้างโอกาส เปิดมุมมองใหม่ และสร้างแรงบันดาลใจให้กล้าที่จะทดลอง คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ”
นายสุวรงค์ เชื่อว่า หากเยาวชนมีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อวิทยาศาสตร์และเห็นคุณค่านำมาปรับใช้ในชีวิตจริง พวกเขาจะสามารถต่อยอดความรู้สู่การเรียน การทำงาน และการเป็นพลเมืองที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังนั้น อพวช. มุ่งหวังให้เยาวชนที่มาร่วมงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2568 ได้มองวิทยาศาสตร์ในมิติใหม่ ไม่ใช่เพียงวิชาการในห้องเรียน หรือเนื้อหาที่ต้องท่องจำ แต่เป็นสิ่งที่ใกล้ตัว เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ
“เราต้องการให้เยาวชนเกิดความเชื่อมั่นว่า ตนเองก็สามารถเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมได้ ไม่จำกัดแค่นักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง แต่รวมถึงผู้ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน”
สำหรับโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกิจกรรมชุมชนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่ผ่านการคัดเลือกและได้ร่วมจัดแสดงในงานที่น่าสนใจ ได้แก่ โครงงาน “ผลการเปรียบเทียบถ่านอัดแท่งจากจอกหูหนูยักษ์และถ่านอัดแท่งตามท้องตลาด” โดย เด็กชายประวริศ พุทธสารวงศ์ และ เด็กหญิงรัตนธร ศรีวิลัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สมาชิกชุมนุมนักนิเวศวิทยารุ่นเยาว์ ตระหนักถึงปัญหาการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของจอกหูหนูยักษ์ ที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมบริเวณบึงโขงหลง จึงทดลองนำจอกหูหนูยักษ์มาแปรรูปเป็นถ่านอัดแท่ง โดยพบว่า สามารถให้ความร้อนได้ดีกว่าถ่านอัดแท่งที่ทำจากเศษไม้ชนิดอื่น ๆ ทั้งยังใช้เวลาในการเผาน้อยกว่าเพราะความหนาแน่นของจอกหูหนูยักษ์ที่มีน้อยกว่า
โครงงาน“การศึกษาคุณสมบัติของสารสกัดจากลูกหว้าสู่การผลิตสบู่ลูกหว้า” โดย น.ส.ญาณัจฉรา ติ๊บวัน และ ด.ญ.นลินนิภา ทาต๊ะ โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม นำผลลูกหว้าที่มีผลผลิตจำนวนมากในพื้นที่มาใช้ประโยชน์ เพราะลูกหว้ามีสารแอนโธไซยานินที่ไม่เพียงให้สีธรรมชาติแต่ยังมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ โดยพบว่าแม้ลูกหว้าจะมีสีออกม่วงแดงเป็นพื้นฐานแต่เมื่อเกิดการผสมกัสารประกอบชนิดอื่น ๆ และใช้ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะให้สีที่ต่างกัน โดยมีผลิตภัณฑ์สบู่ลูกหว้าที่สีต่างกันเป็นผลงานที่แสดงให้ชม
โครงงาน“ผลของสารสกัดจากพืชที่มีรสเปรี้ยวในท้องถิ่นที่มีต่อคุณภาพของกาวจากโพลิเมอร์น้ำนมโค” โดย ด.ญ.ธัญพร นักนวน และ ด.ญ.กัลยกร ยังให้ผล โรงเรียนดัดดรุณี ที่ทดลองนำมะนาว ตะลิงปลิง และมะดัน มาใช้ในการทดสอบโดยพบว่า โปรตีนเคซินในนมพร่องมันเนยนั้นมีคุณสมบัติที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของกาวจากโพลิเมอร์น้ำนมโค ทั้งยังใช้งานได้ดีกว่าโดยทดสอบจากความยืดหยุ่นในแนวดิ่งและระยะเวลาในการแห้งตัวของกาว
โครงงาน“BioBreak ย่อยสลายพลาสติกด้วยโยเกิร์ตและรำข้าว แรงบันดาลใจจากของเหลือใช้” โดย ด.ญ.ฮาอิม คิม และ ด.ช.โรบิน เฮนรี่ ไมล์ สมิธ โรงเรียนวารีเชียงใหม่ ด้วยความตระหนักถึงปัญหาการกำจัดขยะพลาสติกที่เป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะคิดค้นสิ่งที่จะมาช่วยย่อยสลายขยะพลาสติกเหล่านั้น
นอกจากนี้ ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ยังมีโครงงานวิทยาศาสตร์อีกหลายผลงานที่น่าสนใจ ณ ลานกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน โดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียน นักเรียน และผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมงาน ‘มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568’ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 9-17 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อาคาร 5-6 ชั้น LG