เฝ้าจับตากันไม่กะพริบ
สำหรับ การประชุมสุดยอดระหว่าง 3 ผู้นำประเทศ อันประกอบด้วย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ซึ่งจะมีขึ้นที่รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อเจรจาหาแนวทางในการทำข้อตกลงหยุดยิงของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ดำเนินมาจนเกือบจะครบ 3 ปีครึ่ง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
โดยการประชุมสุดยอดดังกล่าว ก็มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามกดดันประธานาธิบดีปูติน ให้เข้าห้องประชุม ขึ้นโต๊ะเจรจา ด้วยคำขู่การใช้มาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชันครั้งใหม่ต่อรัสเซีย พร้อมกับขีดเส้นตาย
แรกเริ่มเดิมที ก็จะเป็นการหารือกันเพียงสองผู้นำ คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีปูติน ก่อนจะยินยอมให้ประธานาธิบดีเซเลนสกี เข้าร่วมประชุมในภายหลัง จากการเกิดกระแสเรียกร้อง
การหารือ ก็จะมีประเด็นเรื่อง “ดินแดน” ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะพยายามผลักดันให้ยุติการสู้รบของทั้งสองฝ่าย โดยจะยึดเอาตามสถานการณ์จริง ณ ปัจจุบันในบางพื้นที่
คาดหมายกันว่า สหรัฐฯ จะยอมรับรอง “ภูมิภาคไครเมีย” ในทะเลดำ ว่าเป็นของรัสเซีย
โดยเมื่อกล่าวถึงภูมิภาคไครเมียแห่งนี้ ถูกผนวกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2014 (พ.ศ. 2557) หลังเกิดสงครามกลางเมืองยูเครน ระหว่างกองทัพรัฐบาลกลางกรุงเคียฟของยูเครน กับกองกำลังติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนทางตะวันออกของยูเครนโดยมีรัสเซียให้การสนับสนุน เพราะประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่มีวัฒนธรรมและภาษาเป็นแบบรัสเซีย
สงครามกลางเมืองข้างต้น เกิดขี้นเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ก่อนที่ประชาชนชาวภูมิภาคไครเมีย ลงประชามติในอีก 1 เดือนถัดมา ผลประชามติ ปรากฏว่า ประชาชนในภูมิภาคไครเมีย ต้องการสถานะเป็นสาธารณรัฐ เรียกว่า สาธารณรัฐไครเมีย พร้อมกับประกาศตนว่า เป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย และภูมิภาคไครเมีย ก็เป็นดินแดนของยูเครน ที่ถูกผนวกเข้าไปเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ที่ผ่านมาของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทางกองทัพยูเครน ก็ได้ลอบโจมตี ในลักษณะก่อวินาศกรรม ในภูมิภาคไครเมียอยู่เป็นระยะๆ เช่น การลอบวางระเบิดจนเกิดเพลิงไหม้ “สะพานเคียร์ช” ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมการสัญจรแผ่นดินใหญ่กับภูมิภาคไครเมีย เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้น
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ จะคัดง้างในเรื่องภูมิภาคไครเมียนี้ มิอาจได้ไม่ เพราะดีไม่ดีอาจทำให้การเจรจาต้องล่มไปเสียก่อน ดังนั้น สหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ต้องยอมรับทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยว่า ภูมิภาคไครเมีย ที่เคยเป็นของยูเครน ปัจจุบันได้ถูกผนวกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียไปแล้ว
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ จะยังไม่รับรองดินแดนแคว้นอื่นๆ ได้แก่ โดเนตสก์ ลูแกนสก์ หรือลูฮันสก์ เคอร์ซอน และซาปอริชเชีย ที่เคยเป็นยูเครน มาเป็นของรัสเซียโดยทางนิตินัย แต่ยอมรับในทางพฤตินัย เท่านั้น ซึ่งเมื่อกล่าวถึง 4 แคว้น 4 ดินแดนข้างต้นนั้น ประชากรส่วนใหญ่ก็มีวัตนธรรมและภาษาเป็นแบบรัสเซีย เช่นเดียวกับไครเมีย
บรรดานักวิเคราะห์ แสดงทรรศนะว่า ประเด็นหารือเรื่องการยอมรับดินแดนทั้ง 4 แคว้นข้างต้นนั้น ถือเป็นประเด็นเปราะบางที่จะทำให้ข้อตกลงหยุดยิง “ล่ม” เอาได้ง่ายๆ หากรัสเซีย ใช้วิธียื่นคำขาดให้ยูเครน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเซเลนสกี ที่เข้าร่วมประชุมหารือด้วยนั้น ยอมรับดินแดน 4 แคว้นข้างต้นเป็นของรัสเซียไปแล้ว และก็เป็นปัญหาต่อประธานาธิบดีเซเลนสกีมิใช่น้อย ที่จะให้ยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีเซเลนสกี ก็ยากที่จะต่อรองใดๆ ได้ เพราะไม่มีอำนาจต่อรอง เมื่อว่ากันถึงสถานการณ์สู้รบในปัจจุบันที่ยูเครนเป็นรองรัสเซีย เพราะตกเป็นเป้าถล่มโจมตีเสียส่วนใหญ่
ทั้งนี้ ในประเด็นเรื่องดินแดนนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกี ก็มีปัญหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของยูเครน มาค้ำคออยู่เหมือนกัน โดยมาตราที่ 2 ของรัฐธรรมนูญยูเครน ระบุว่า อำนาจอธิปไตยของยูเครนขยายไปทั่วทั้งดินแดน ซึ่งภายในพรมแดนปัจจุบันนั้นแบ่งแยกและละเมิดมิได้ ดังนั้น ประธานาธิบดีเซเลนสกี ก็ไม่สามารถยอมรับการเสียดินแดนของยูเครนให้แก่รัสเซียได้ รวมถึงไครเมียด้วย แต่ประธานาธิบดีเซเลนสกีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากมองตาปริบๆ
ใช่แต่เท่านั้น ประเด็นเรื่องที่ไม่ให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกั้นแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ก็ยังจะถูกหยิบยกขั้นมาหารือด้วย
นอกจากยูเครนเสียเปรียบ จนแทบจะต่อรองไม่ได้กับรัสเซียในประเด็นต่างๆ แล้ว เหล่านักวิเคราะห์ ก็แสดงทรรศนะว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็กำลัง “เดิมพันสูง” กับการประชุมครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้บังเกิดข้อตกลงหยุดยิง และสันติภาพตามมาในวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
โดยเหล่านักวิเคราะห์ ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องพยายามทำให้การประชุมหารือที่มีขึ้นนั้น ได้ผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ได้ มิเช่นนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ก็จะเสียหน้า เพราะได้ร่ำๆ แสดงออกทางวาจาไว้มาก นับตั้งแต่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ไปจนถึงเปิดศึกวิวาทะกับประธานาธิบดีเซเลนสกี ตลอดจนข่มขู่คว่ำบาตร พร้อมกับขีดเส้นตายกับประธานาธิบดีปูติน
สวนทางแตกต่างจากประธานาธิบดีปูติน ที่แทบจะไม่เสียหายอะไร หากการประชุมครั้งนี้ ไม่มีผลของการเจรจาออกมา พร้อมกับอาจได้เห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของกองทัพของรัสเซียในฤดูหนาวนี้ ในพื้นที่ภาคตะวันออกของยูเครน