ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“..เมื่อชีวิต..จำเป็นต้องใฝ่หาความสุข..ความเป็นมนุษย์จึงมักถูกเปรียบเปรยกับสรรพสิ่งบนโลกนี้ ..ในฐานะแห่งการเป็นต้นรากของคำสอน..ที่หมายถึงการค้นพบกับสัจจะอันเป็นคุณอนันต์..ในสิ่งที่พานพบจากการค้นพบนั้น ย่อมคือพลังสำคัญต่อการแสวงหา..โลกแห่งการดำรงอยู่ใหม่ ภายใต้ริ้วรอยแห่งเจตจำนงอันมุ่งมั่นภายใน..กระทั่งกลับกลายเป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง..ณ จุดตัดแห่งปรารถนาอันเร้นลึก..!”

“ความสงบภายใน..ย่อมคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง..ในทุกเมื่อ....”

แก่นความคิด..ในข้างต้น ..คือส่วนเชื่อมโยง..ถึงเนื้อในแห่งหนังสือที่สะท้อนถ่ายถึงธรรมชาติอันงดงามของชีวิตเล่มหนึ่ง..ที่ปลุกตื่นและย้ำเตือนสติของเรา..ด้วยข้อคิดเชิงปฏิบัติการต่อชีวิตในด้านลึกต่อมนุษย์เรามากมาย..

.. “แมวสอนเซน” (The Cat Who Taught Zen)..นิยายภาพ..ผลงานที่งดงามและลึกซึ้งโดย .. “เจมส์ นอร์บิวรี” (James Norbury)..ผู้วาดภาพประกอบและผู้เขียนหนังสือที่ขายดีไปทั่วโลก..นับจาก “Big Panda” และ “Tiny Dragon”..ในเรื่องนี้..เขาสร้างเรื่องราวของแมวที่มีความคลางแคลงและใฝ่ฝันถึงดินแดนอัศจรรย์ของชีวิต ที่สามารถสร้างความหมายแห่งการดำรงอยู่อันมีค่าแก่ตัวตนได้..

กระทั่งเขาได้รับคำชี้แนะจากเพื่อน .. “เจ้าหนู” ตัวเล็กที่ได้ให้คำแนะนำที่กระตุ้นเร้าหัวใจของเขาให้โลดทะยานต่อการค้นหาประสบการณ์เบื้องหน้า..ณ..ป่า “เมเปิ้ล”..ที่นี่จึ่งคือฉากแสดงอันสำคัญของเรื่อง..ที่กำหนดทั้งสถานการณ์และประสบการณ์แห่งการเรียนรู้อันสวยงาม..ภายใต้วิสัยและวิถีแห่งเซนให้ได้ทดลองฝึกหัดและปฏิบัติในชีวิตจนบรรลุผลแห่งปรารถนาผ่านการกระทำที่มีทั้งความสำเร็จและผิดพลาด..แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ได้ผนึกและรวมตัวเป็นรากเหง้าชั้นดี..ต่อการก้าวไปข้างหน้าด้วย “แสงสว่างทางปัญญา"..ที่ไม่มืดมน..แม้เมื่อใด..!

*ในวิถีแห่งเซน..เซนสอนให้เราได้พบกับการสร้างสรรค์อย่างเป็นสุขในภาวะปกติ..เป็นการฝึกสมาธิเพื่อค้นหาความจริงภายในตนเอง เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ..ในธรรมชาติและชีวิตภายในของเรา..ผ่านความเชื่อในเชิงยกย่องว่า ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญ ต่อพัฒนาชีวิตประจำวัน..เป็นสิ่งที่สอนบทเรียนต่างๆในชีวิต..ผ่านนัยแห่งการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ..ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของธรรมชาติอย่างฤดูกาล การเติบโตของต้นไม้ ความสงบของป่า..ทั้งหมดบังเกิดเป็นแนวทางแห่งความสุขในการทำกิจวัตรต่างๆของชีวิต..!

...ส่องสะท้อนให้เห็นความจริงในมิติของธรรมชาติ อันหมายถึงความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลง..!

ซึ่งการยอมรับความจริงในลักษณะนี้ จะช่วยให้เราคลายความยึดติด และ ความทุกข์ลงได้..!

ส่วนตัวตนแห่งความหมายของแมว..พวกเขาจะไม่ไขว้คว้าหาความสุขที่ไกลตัว พวกเขาสมถะ แสวงหาในความสุขที่เรียบง่าย ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง..

..หลักคิดสำคัญที่ได้จากแมวคือ การปล่อยวางความสุขที่ได้จากภายนอก..แต่ค้นหา เพื่อจะมีความสุขจากปัจจัยภายใน..ด้วยตัวของตัวเองอย่างอิ่มเอม..จนเป็นนิสัย..!

ประเด็นหลักที่หนังสือเล่มนี้มอบให้แก่เรามีอยู่หลายประการที่ชวนคิดและชวน..ฝึกฝนใส่ใจต่อการรับรู้..นับแต่..การตระหนักว่า..การยอมรับความจริง คือการยอมรับการเปลี่ยนแปลง อันเป็นคำสอนที่เน้นย้ำถึง การยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต..ไม่ต้องยึดติดอยู่กับความสุขหรือความทุกข์..ให้ยึดถือแต่กับปัจจุบัน และพร้อมที่จะปรับตัวตามสถานการณ์ต่างไปเสมอ ..!

ประการต่อมา..คือการชี้ให้ตระหนักว่า..ความเรียบง่ายจักนำไปสู่ความสุขอันแท้จริง..ไม่ว่าจะเป็นความต้องการมองหาความสุขจากสิ่งภายในอก..ความสุขที่แท้จริงมักซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย..ไม่จำเป็นที่จะต้องมองหาจากภายนอกเลย..แต่ให้มองหาจากการใช้ชีวิตที่พอดีและพอเพียง..

..ทั้งนี้ ..เพื่อลดความซับซ้อนในชีวิต..ครั้นเมื่อลบความซับซ้อนก็จะได้พบกับความสุขสงบภายในใจได้ง่ายขึ้น และชีวิตก็จะเบาลงจากความกดดัน..ที่เราสร้างขึ้นมา..

..นั่นจึงนำไปสู่ข้อคิดสำคัญอีกประการหนึ่งที่ว่า ..การอยู่กับปัจจุบันคือหัวใจแห่งการใช้ชีวิต การอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่นั้น...เป็นสิ่งที่ “แมวเซน” ย้ำอยู่เสมอ..และมันไม่ได้หมายถึง การละเลยหรือเพิกเฉย แต่เป็นการมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่ดำเนินอยู่ในขณะนั้น..การมีสติในทุกขณะ..จะทำให้เรามีความสุขโดยแท้จริง..!

มาถึงในข้อที่ว่า..ความสงบนั้นเกิดจากการปล่อยวาง..นี่คือหลักคิดที่น่าสนใจ..เนื่องเพราะ..ความสงบที่แท้จริงไม่ใช่การควบคุมในทุกสิ่ง..แต่มันคือการปล่อยในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้  ดั่งเช่น การยึดติดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือกลุ้มกังวลกับอนาคต เพราะมันจะทำให้เราสูญเสียความสงบภายในจิตใจภายใน... “เมื่อเราปล่อยวาง..เราจะเข้าใจ”

..และ..การฟังคือศิลปะแห่งการเข้าใจที่แท้จริง ...นั่นเป็นเพราะว่า..มันเป็นการให้เกียรติทั้งผู้อื่นและตนเอง..มันไม่ใช่แค่การได้ยินเสียง..แต่เป็นการรับรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูด..ซึ่งจักทำให้เราได้เข้าใจคนอื่นอย่างลึกซึ้ง และ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งขึ้น..!

แต่ในอีกด้านหนึ่ง..ความอ่อนโยนคือพลังใจ..ว่ากันว่า..ความอ่อนโยนและความเมตตา..คือ “พลังที่ทรงพลัง” ที่สุด..  “อ่อนโยน..ไม่ใช่อ่อนแอ..”

แต่..คือความสามารถในความเข้าใจและให้อภัย..เมื่อเรามีความอ่อนโยนในใจ เราจะสามารถเผชิญกับปัญหาอย่างมีสติ..ไม่ถูกครอบงำด้วยความโกรธหรือความกลัว  ...

..ที่สุดแล้ว “แมวสอนเซน” ก็ได้ให้ข้อสรุปแก่ชีวิตของเราให้ได้ประจักษ์ว่า.. “ความสงบภายในใจตนเอง..เป็นขั้นแรกของการใช้ชีวิตที่มีสติ”

นั่นหมายถึงว่า ..เราต้องกลับมาที่ลมหายใจของเรา..เหมือนการหยุดโลกภายนอกไว้ชั่วคราว..เพื่อกลับมาสู่ภายใน..!

“..การหาความสงบไม่ใช่การหลีกหนีปัญหา ..แต่มันคือการเผชิญหน้า ..กับจิตใจที่นิ่งสงบ..เพื่อจะได้เห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน และ เข้าใจมากยิ่งขึ้น .!”

“แมวสอนเซน” เป็นเรื่องราวของแมว..ที่รับรู้วิถีแห่งเซน..เรียนรู้และรับรู้ผ่านการได้ยินเรื่องเล่าจาก “เพื่อนหนู”..ว่ามีต้นสนเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง อยู่ลึกเข้าไปในป่าต้นเมเปิล..ที่นั่น..เราจะสามารถได้พบกับ ความรู้อันไม่สิ้นสุดภายใต้ต้นสนในป่านั้น

ระหว่างทางของการเดินทางสู่ป่าสน...การเดินทางเพื่อการค้นหาจิตวิญญาณก็ได้เริ่มต้นขึ้น..

ในระหว่างทาง “เจ้าแมว” ก็ได้พบกับสัตว์ต่างๆไปมากมาย นับแต่เจ้าลิงจอมวิตก เจ้าเสือที่ต่อสู้กับความโกรธ ลูกหมาป่าที่สับสน รวมทั้งเจ้ากาผู้โลภมาก..โดยสัตว์แต่ละตัวมีเรื่องราวความรู้สึก และ ประสบการณ์เฉพาะตัวมาแบ่งปัน..แต่หลังจากที่ได้พบกับ “ลูกแมวจอมซน"อย่างไม่คาดคิด..เจ้าแมวก็เริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่ง..!

..ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่กำลัง แสวงหาตัวตนให้กับเรื่องราวบางอย่างในชีวิต..

ทั้งหมดจึงนับเป็น..สุนทรียะแห่งการเล่าเรื่องเชิงเปรียบเทียบ..เปรียบเปรย..ทั้งจากประสบการณ์ ตลอดจนเหล่าความคิดของสรรพสัตว์ที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย..อันถือเป็นการตกผลึก เป็นการตระหนักในพลังแห่งจิตสำนึกของการมีตัวตนอันสมบูรณ์..บนโลกนี้..เป็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง และ เป็นการดำรงอยู่ด้วย.. “วิธีคิด”..

แท้จริงแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นหลักยึดหรือหลักคิดแบบใด..ก็ล้วนเป็นวิธีต่างๆที่ทำให้ประจักษ์..และทำให้การศึกษาในทางปรัชญญาสนุก..และรื่นรมย์ยิ่งขึ้น..

ข้อคิดของ “เจมส์ นอร์บิวรี” ผสานกับปรัชญาเซน..คือผลรวมของการตกผลึกแห่งการใช้ชีวิต..ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ..แล้วคลี่คลายสู่ปลายทางอันหมายถึง ความสุข ที่ผูกพันด้วยหัวใจ..ความสงบ ความสมดุล ผ่านบทสนทนาของตัวตนอันลึกซึ้งต่อใจ..!

*ตัวอย่างจากชีวิตของลูกหมาป่าผู้เหงาหงอย..เขากลายเป็นคลื่นยักษ์ในวัย 61 ปี..เป็นนกยักษ์..ในช่วงก่อนที่ “เจ้าแมว” จะโยนคำถาม..ให้ลูกหมาป่าได้ใคร่ครวญ..และพบกับคำตอบ..ที่งดงามว่า.. “เราแต่ละคน ล้วนมีของขวัญที่มอบให้แก่ชีวิตของโลกใบนี้ได้...”

..เราจึงสมควรที่จะชื่นชมกับของขวัญที่มีอยู่นั้น..แทนที่จะคิดไขว้คว้าให้มีในสิ่งที่ต่างจากคนอื่นเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา..

“ในความฝันข้าถูกหมาตัวใหญ่ไล่กวด..ข้ากลัว..ข้าอยากแข็งแกร่ง และทรงพลังเหมือนอย่างเจ้าป่าของเรา..ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น..ข้าจำเป็นต้องกลัว..หมาตัวใหญ่อีก”..

ชีวิตของสรรพสิ่ง..เปรียบเหมือนนิทานเรื่องเล่า มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกแห่งใจ ที่จะถูกพัดไหวและต้องกระทบ..แท้จริงไม่มีใครสามารถที่จะควบคุมกลไกของความรู้สึกเช่นนี้ได้หรอก..จนกว่าจะสามารถควบคุมมันได้ อย่างลึกซึ้งและถึงแก่น..นั่นคืออุทาหรณ์ที่ “เจมส์ นอร์บิวรี” ได้นำเสนอต่อเรา..อย่างแกะรอยและเข้าใจในธรรมชาติของสัตว์โลกชนิดต่างๆรวมทั้งวิสัยของความเป็นมนุษย์..ที่เปิดเปลือยแบบตีแผ่..ถึงกันและกัน..อย่างกลมกลืน ชาญฉลาด และ ละเมียดละไม..

ผลึกความคิดจาก “แมวสอนเซนตัวนี้”..นำชีวิตเราให้ก้าวไปข้างหน้า..ผ่านความรุ่มรอนตะเกียกตะกายแห่งจิต..ไปสู่ความคลี่คลาย..ที่จะย้อนกลับมาเป็นอันหนึ่งเดียวกัน..สู่ความหมายของคำความเป็นชีวิต..ตลอดไป..!

..ข้าเฝ้าค้นหามาเป็นเวลานาน ..แต่ยังมีเรื่องมากมายที่ข้าไม่รู้.. เจ้าแมวหันไปหาเจ้าหนูแล้วพูด..

..เมื่อฝนกระเด็นจากหลังคาไหลไปตามรางน้ำ..ผู้คนในเมืองต่างห่อไหล่ลู่ลง..กลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ..และรีบกลับบ้าน..

“อรดา ลีลานุช” แปลกกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำความงดงามของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างล้ำลึก..งดงามและเข้าใจในเนื้อในแห่งบริบททั้งมวล..

นี่คือความงามและความหมาย..ที่สามารถนำเราสู่การบรรลุถึงความจริงในความเข้าใจ.. อันเป็นจุดมุ่งหมายที่สุขสงบ..ต่อทิศทางแห่งชีวิต..อันถาวร..!

“การอยู่กับความเงียบ และ ธรรมชาติ จักช่วยให้เรา ได้พบกับความสงบภายใน..! ..จงอยู่กับปัจจุบัน และ ซาบซึ้งกับทุกช่วงเวลา..เพราะทุกช่วงเวลานั้น..มีค่าเสมอ..!”