“สส.ปชน.” รุมซัดงบฯก.คมนาคม “วิโรจน์” เสนอตัดงบจัดซื้อรถเครนของกรมทางหลวงชนบท 7.56 ล้าน หวั่น ซื้อครุภัณฑ์ผิดกฎหมายมาใช้งาน หลังพบถูกจัดอยู่กลุ่มรถบรรทุก อาจถูกตำรวจจับข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกิน แนะ แก้กฎหมายให้สอดคล้องชาวโลก “ภัสริน” ซัด งบกรมเจ้าท่า สร้างท่าเรือรัฐสภา 150 ล้าน พบค่าตกแต่งเจดีย์ กว่า 10 ลบ. แนะ สภาฯ ควรเป็นตัวอย่างใช้งบอบย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เพื่อความสบายของคนมีตำแหน่ง ด้าน “ศุภณัฐ” ลากไส้คมนาคมสร้างตึกใหม่ 3.8 พันล้าน ขณะที่ “สุรเชษฐ์” ซัดงบสร้างสูงกว่าตึกสตง.3 เท่า ยัดไส้ซื้อโต๊ะห้องสมุดตัวละ2 แสน
วันที่ 14 ส.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทน ราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2569 วาระ 2–3 ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ต่อมาเวลา 12.05 น.ได้เข้าสู่มาตรา 15 กระทรวงคมนาคม โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปราย มาตรา 15 งบประมาณกระทรวงคมนาคม วงเงิน 184,465 ล้านบาท ในส่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบน ว่า ปีงบประมาณ 69 กรมทางหลวงชนบทมีแผนจัดซื้อรถเครน 6 ล้อ พร้อมเครนยกไม่น้อยกว่า 10 ตันเมตร จำนวน 2 คัน คันละ 3.78 ล้านบาท รวมงบประมาณ 7.56 ล้านบาท แต่ปัญหาคือรถเครนในประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหากฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากรถเครนที่ผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ที่มาตรฐานความปลอดภัยถูกต้องทุกอย่าง สามารถวิ่งได้บนท้องถนนทั่วโลก แต่ต้องถูกตำรวจไทยจับข้อห้าน้ำหนักเกิน เพราะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มรถบรรทุก
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สาเหตุของปัญหามาจากผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน รวมถึงประกาศกรมทางหลวงที่ คค0643/530 เรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตให้ยานพาหนะเดินบนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงสัมปทาน ซึ่งรมว.คมนาคม อธิบดีกรมทางหลวง และอธิบดีกรมทางหลวงชนบาท ต่างก็ทราบดี แทนที่จะเร่งแก้ไขกฎหมาย และจัดเก็บค่าธรรมเนียมอย่างสมเหตุสมผล เอารายได้เข้ารัฐ กลับปล่อยให้เกิดการรีดไถไม่จบไม่สิ้น
“สิ่งที่น่าเศร้าเวลาเกิดภัยพิบัติ ยกตัวอย่างตอนที่ตึกสตง.ถล่ม หน่วยงานราชการขอความช่วยเหลือจากสมาคมผู้ประกอบการรถเครน ให้เอารถเครนออกมาช่วย กระซิบกระซาบบอกเขาว่าครั้งนี้ยกเว้นไม่จับ เมื่อพ้นภัยพิบัติค่อยว่ากันใหม่ หากยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย หมายความว่ากรมทางหลวงชนบท กำลังจะซื้อครุภัณฑ์ผิดกฎหมายมาใช้งาน สุดท้ายรถเครนที่ต้องใช้เพื่อการยกของ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการไถ หากไม่ยอมให้ไถจะถูกตำรวจบางนายริบรถทันที ทั้งที่รถเครนไม่ใช่ราคาถูกๆ คันละเกือบ 4 ล้านบาท ถ้าเป็นสเปคสูงๆ ราคาแตะหลัก 10 ล้านบาท กฎหมายที่ลักลั่นแบบนี้ปล่อยไว้ได้อย่างไร ผมจึงขอเสนอตัดงบประมาณการจัดซื้อรถเครนของกรมทางหลวงชนบททั้ง 2 คัน และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับรถเครนให้สอดคล้องกับกฎหมายในโลกใบนี้ก่อน” นายวิโรจน์ กล่าว
จากนั้นเวลา 12.50 น. น.ส.ภัสริน รามวงศ์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 15 กระทรวงคมนาคม ว่า ขอปรับลด 5 % ในส่วนของกรมเจ้าท่า ที่มีงบประมาณจำนวนมากถึง 4 พันกว่าล้านบาท เป็นงบลงทุน 3,200 กว่าล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงข่ายคมนาคมทางน้ำทั่วประเทศ รวมถึงท่าเทียบเรือ เช่น ท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีโครงการ Smart pier ปรับปรุงก่อสร้างเพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณท่าเรือ ตนขอฝากไปยังกระทรวงคมนาคมว่าสร้างเสร็จแล้วก็ต้องเปิดใช้ทันที ออกแบบให้เหมาะสมกับงบดูแลรักษาที่มีจริง หากติดแอร์แล้วก็เปิดด้วย ไม่ใช่ปล่อยทิ้งล้างให้คนมางัดแงะขโมยของ ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีก โครงการท่าเรือรัฐสภาและโรงเก็บเรือ วงเงิน 150 ล้านบาท คล้ายโรงลิเก เป็นท่าเรือ 2 ฝั่ง ทั้งสส. สว. ฝั่งละ 51 ล้าน และโรงเก็บเรือหนึ่งหลัง หลังละ 11 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายพิเศษประมาณ 28 ล้านบาท ตนเข้าใจว่าโครงการนี้อยากจะให้กรมเจ้าท่า เป็นผู้สร้างเพื่อรองรับการเดินทางด้วยของสส. สว. และแขกบ้านแขกเมือง แต่เมื่อเทียบกับงบปรับปรุงท่าเรือ 13 แห่ง ที่มีประชาชนใช้ทุกวัน ท่าเรือรัฐสภาแห่งเดียวกลับมีงบประมาณก่อสร้างเกือบ 4 เท่า ที่สำคัญคือปัจจุบันรัฐสภามีโป๊ะเรือ และมีผู้ใช้บริการอยู่แล้ว เฉลี่ยวันละเกือบ 600 คน เป็นอันดับที่ 18 จาก 46 ท่าเรือ
“รัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติที่พิจารณางบประมาณของหน่วยงานอื่นควรเป็นตัวอย่างในการใช้งบงบประมาณอย่างสมเหตุสมผลเน้นประโยชน์สาธารณะของประชาชน ไม่ใช่เพื่อความสบายของผู้มีตำแหน่ง แต่วันนี้เราเห็นงบประมาณลงทุนที่เป็นของคนไทยทุกคนก้อนมหาศาล ทุ่มไปกับท่าเรือสุดหรูที่รัฐสภา เพียงแค่ค่าตกแต่งยอดเจดีย์ท่าเรือ ราคากลางยอดละเกือบ 10 ล้านบาท ในขณะที่ท่าเรือเกียกกายเป็นสนิม ห่วงยางชำรุด บางแห่งพื้นวัสดุลื่นหลุดออกมา ต้องก้าวย่างอย่างระวัง ความปลอดภัยในชีวิตประจำวันแทบไม่มี เงินลงทุนคือเงินที่ลงไปแล้วหวังว่าจะได้อะไรกลับมา ดิฉันขอตั้งคำถามว่าเงินที่ลงกับรายละเอียดสุดหรูอย่างยอดเจดีย์ละ 10 ล้านบาท และท่าเรือติดแอร์ที่สุดท้ายไม่เคยได้เปิดการใช้งาน จะยังสร้างต่อไปเรื่อยๆหรือไม่ แล้วเราจะได้อะไรกลับมาบ้าง ผู้โดยสารทางเรือจะมีความปลอดภัยมากขึ้นหรือไม่”น.ส.ภัสริน กล่าว
น.ส.ภัสริน กล่าวต่อว่า ตนเห็นด้วยกับการใช้จ่ายลงทุนในการปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่การบริหารงานลงทุนต้องคุ้มค่า มุ่งเน้นที่ประชาชนจะได้ประโยชน์ ใช้งานได้จริง มีหน่วยงานที่กำลังมาดูแลกำกับให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น ถ้าไม่ได้ช่วยสร้างรายได้ก็ต้องช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน หรือเพิ่มความสะดวกสบายให้กับชีวิตคน จากตัวอย่างดังกล่าวงบประมาณของกรมเจ้าท่าและกระทรวงคมนาคมสามารถปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้เกิดความคุ้มค่าได้มากกว่านี้ เฉือนตัดรายละเอียดที่ฟุ่มเฟือยออกไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ยังคงสาระของโครงการไว้ได้
ด้านนายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบก่อสร้างตึกกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ว่า ใช้งบก่อสร้าง 3,832ล้านบาท เป็นงบผูกพัน 3ปีตั้งแต่ปี2569-2571 เป็นอาคาร 22ชั้น พื้นที่ 115,196ตารางเมตร บนที่ดิน 18.5ไร่ ในตึกมีทั้งลิฟต์ และห้องอาหารวีไอพีให้รัฐมนตรี แยกจากเจ้าหน้าที่ มีฟังก์ชันเว่อร์วัง ทั้งห้องฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด ห้องประชุมชนาดใหญ่ ห้องแถลงข่าว ห้องอบรม ห้องปฏิบัติธรรม และโซนดูวิวกระทรวง ใช้เงินลงทุน 5,810ล้านบาท เพื่อตึกแห่งนี้ทั้งค่าก่อสร้าง 3,832ล้านบาท ค่าที่ดิน 2,250ล้านบาท ค่าควบคุมการก่อสร้าง 103ล้านบาท ค่าปรับปรุงแบบ 8ล้านบาท แต่มีหน่วยงานที่จะมาอยู่ 5หน่วยคือ 1.สำนักงานรัฐมนตรี 2.สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม 3.กรมขนส่งทางราง 4.สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง 5.สำนักงานบริหารทรัพย์สินของรถไฟ มีเจ้าหน้าที่ย้ายมาแค่ 1,018คน อีก 17หน่วยงานที่เหลือ อาทิ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ขนส่งทางบก การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ขสมก. ไม่มีหน่วยใดย้ายมา
“ถือว่าก่อสร้างใหญ่เกินความจำเป็น ยิ่งกว่านั้น ตึกมีเจ้าหน้าที่ 1พันคน แต่มีที่จอดรถ 1,100คัน หรือ 1คน ต่อ1คัน ทั้งที่อยู่ติดกับสถานีกลางบางซื่อ ล้างผลาญกันถึงที่สุด เหตุใดกมธ.งบรายจ่ายปี69 ชุดใหญ่ แค่ปรับลดพอเป็นพิธี แล้วอนุมัติให้ผ่าน หรือมีธงอยู่แล้ว ถ้าสร้างตามความเหมาะสม จะใช้เงินแค่ 1,200ล้านบาท แต่พรรคเพื่อไทยไปช่วยแบกตึก จนเสียเงินเพิ่ม 2,600 ล้านบาท”นายศุภณัฐ กล่าว
ขณะที่นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ตึกกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่คือที่สุดของงบปี69 เหตุใดกมธ.งบฯชุดใหญ่ปล่อยผ่านมาได้ ตั้งงบมา 3,832ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.8ล้านบาทต่อข้าราชการ 1คน แพงกว่าตึกสตง. 3 เท่ากว่า สร้างอย่างโอ่อ่า ใช้งบล้างผลาญ ไม่เห็นหัวประชาชน มีห้องประชุมเยอะ และใหญ่มาก แต่มีพื้นที่โล่ง ไม่ได้ใช้ประโยชน์เยอะมา คิดเป็นข้าราชการ 1คน มีพื้นที่ใช้สอย 124ตารางเมตร และยังยัดไส้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะเก้าอี้แพงเว่อร์ เช่น โต๊ะราคาตัวละ 2แสนบาท 2ตัว ในห้องสมุด และเก้าอี้ในห้องสตูฯ 2ชุด ราคา111,000บาท หากเป็นกระทรวงอื่นที่ไม่มีรัฐมนตรีหนุนหลัง ตั้งงบมาแบบนี้อดแน่ อยากให้กลับไปออกแบบมาใหม่แล้วกลับมาขอใหม่ในปีหน้า ด้วยราคาที่เหมาะสม เพราะโอ่อ่าเกินไป เป็นรายการฉาวที่สุดแห่งปี จะผลาญงบเพื่อใคร