ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
เมื่อสหรัฐฯ ใช้กลไกทางการเงินเป็นเครื่องมือในการบีบบังคับประเทศที่ไม่ยอมรับอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐฯ หลายประเทศจึงต้องรวมตัวเพื่อปกป้องตนเอง และตอบโต้ จนทำให้สหรัฐฯต้องถอยร่น เพราะอาวุธสำคัญที่สหรัฐฯใช้เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง นั่นคือ ดอลลาร์ และระบบควบคุมการโอนเงินระหว่าง (SWIFT)
BRICS คือกลุ่มประเทศที่เป็นแกนหลักในการจัดสร้างระบบการเงินที่จะไม่ต้องพึ่งพาดอลลาร์ และระบบ SWIFT นั่นคือการสร้างระบบ BRICS PAY ที่ใช้โปรแกรม BLOCK CHAIN ในการแลกเปลี่ยนเงินสกุลท้องถิ่นของสมาชิก (ซึ่งในปัจจุบันมี 10 ประเทศ) ในการค้าขาย
ผลทำให้ดอลลาร์เริ่มเสื่อมค่าและถูกลดบทบาทในฐานะเงินสกุลหลักของโลกที่ใช้ในการค้าขาย การลงทุน และนั่นทำให้อาวุธทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ใช้ในการควบคุมเศรษฐกิจโลก New World Order ลดอานุภาพจนอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อตนเอง เพราะระบบเดิมที่สหรัฐฯใช้อยู่ในการพิมพ์ดอลลาร์เพิ่ม คือการออกพันธบัตรมาค้ำประกันเริ่มติดขัด ราคาพันธบัตรที่มีอยู่ตกต่ำ และที่เตรียมจะออกใหม่ก็มีทีท่าว่าจะขายออกยาก ความน่าเชื่อถือของดอลลาร์ลดลง ด้วยสถานการณ์ Dedollarization
ทั้งนี้สหรัฐฯใช้ทองคำสำรองประมาณ 8,133 ตัน (มากที่สุดในโลก) ซึ่งบันทึกไว้ในบัญชีมูลค่า $42.22 ต่อทองคำ 1 ออนซ์ ไว้ในปี 1973 และยังไม่มีการปรับมูลค่า โดยในความเป็นจริงราคาทองคำในปี 1973 ในท้องตลาดมีมูลค่ากว่า $100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในขณะที่ราคาตลาดปัจจุบันมีมูลค่ากว่า $3,300 ต่อออนซ์ สหรัฐฯจึงเตรียมการปรับมูลค่าทองคำสำรองของตนตามราคาตลาด ซึ่งจะทำให้มีมูลค่าประมาณกว่า $ 800,000 ล้าน โดยจะใช้ทองคำสำรองนี้เป็นหลักประกันมูลค่าดอลลาร์ แต่มิได้เปิดให้ใช้ดอลลาร์แลกทองคำเหมือนระบบเดิม
ดังนั้นเมื่อธนาคารกลาง (FED) ของสหรัฐฯ ต้องการพิมพ์เงินเพิ่มโดยกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ก็สามารถเพิ่มได้โดยมิต้องออกพันธบัตรมาค้ำประกัน
แต่สหรัฐฯมิได้ทำแค่นั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ยังออกมาตรการอีก 2 ประการ เพื่อมาหนุนความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์คือ
1.Stretegic Bitcoin Reserve นั่นคือการนำเอา Bitcoin และเงินคริปโตอีก 4 สกุล มาเป็นสำรองเงินหนุนค่าดอลลาร์ โดยตั้งเป้าให้มี Bitcoin เป็น 5 % ของปริมาณ Bitcoin ทั้งโลก ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯมีอยู่ $21 พันล้าน ต้องเพิ่มอีก $88 พันล้าน รวมกับเงินอีก 4 สกุล คือ XRP, ETH, SOL, ADA ซึ่งในปัจจุบันเป็นเงินที่ยึดมาจากเอกชนที่ทำผิดกฎหมายมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้โดยทรัมป์ได้ออกคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อเป็นกฎหมายรองรับ
2.รัฐสภาออกกฎหมายรับรอง Private Stable โดยให้มีการจดทะเบียนยอมรับเอกชนที่จะมาเป็นผู้ออก Stablecoin ซึ่งมีเงื่อนไขว่า เงินเหล่านั้นจะต้องมีดอลลาร์หรือพันธบัตรหนุนหลัง 100 % นั่นคือการสร้างดีมานด์ให้เงินดอลลาร์ และพันธบัตรรัฐบาลที่กำลังมีราคาตกต่ำลง
อย่างไรก็ตามการหนุนหลังค่าเงินดอลลาร์ในระบบใหม่นี้เป็นเพียงการสร้างความน่าเชื่อถือในลักษณะจิตวิทยา เพราะมิได้อนุญาตให้มีการนำดอลลาร์มาแลกกับทองคำ หรือคริปโตที่รัฐบาลมีสำรองอยู่ แต่ก็มีลักษณะคล้ายกับเงินกองทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่ทำกันอยู่ทั่วไป
ข้อดีของระบบนี้สำหรับรัฐบาล คือไม่ต้องผูกมัดให้แลกทองคำจริง และเมื่อทองคำมีราคาตลาดสูงขึ้น ทุนสำรองนี้ก็เพิ่มขึ้นทำให้พิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นได้ถ้าต้องการ ทำให้สามารถรักษาอำนาจการควบคุมนโยบายการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นโดยไม่จำกัดความยึดหยุ่น เช่น กรณีที่ FED กำลังจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ต้องห่วงที่จะมาปกป้องค่าดออลาร์
สำหรับตลาดมาตรการนี้ช่วยให้ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นว่ามีอะไรหนุนหลังดอลลาร์ที่ถืออยู่ (Somthing Solid) ลดความกังวลเรื่องการพิมพ์ธนบัตรที่ไม่จำกัดอย่าง QE
สำหรับเศรษฐกิจโลกทำให้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นเงินสกุลสำรองหลักในการค้าขายโลก สนับสนุนระบบการเงินดิจิทัลให้มีการพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต
ทั้งนี้รัฐสภาได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า Genius Act ออกมาเพื่อจัดระบบ Stablecoin ประกอบกับ Stretegic Bitcoin Reserve ที่ทรัมป์ออกคำสั่งบริหารมารองรับ
ดังนั้นหากสหรัฐฯจะสร้างหนี้เพิ่มขึ้นจากงบประมาณขาดดุลก็สามารถพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็จะต้องมีการปรับมูลค่าทองคำสำรองให้สอดรับหรืออาจต้องเพิ่มเงินดิจิทัล 5 ชนิดดังกล่าวโดยอาจแก้ไขคำสั่งประธานาธิบดี หรือหากตลาด Stablecoin ขยายตัวมีทุนหนุนหลังเป็นดอลลาร์ หรือพันธบัตรเพิ่มขึ้น รัฐบาลก็มีทางระบายพันธบัตรที่ออกเพิ่มในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม เพราะการมี Stablecoin รองรับจากภาคเอกชน
ดังนั้นภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ก็จะได้รับการผ่อนคลายลง นอกจากนี้ยังได้รายได้เพิ่มจากที่มีการขึ้นภาษีศุลกากรอีกประมาณ 200,000 ล้านต่อปีก็อาจมาช่วยจุนเจือภาระหนี้ได้บ้าง นอกเหนือจากการปล่อยให้เงินเฟ้อฆ่าหนี้
ฉะนั้นจึงยังไม่อาจสรุปได้ว่า ดอลลาร์จะตายสนิท และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะพังพินาศในทางตรงข้ามการปรับกลไกการเงินในครั้งนี้ ทำให้เกิดเม็ดเงินเพิ่มขึ้นในแวดวงธุรกิจสหรัฐฯ และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯบูมในปีนี้ แต่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น กลุ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์ควอนตัม หรือแบบบริษัท Palantir ซึ่งเป็นบริษัทประมวลข้อมูลและนำเสนอเป็นแพ็กเกจผ่านเครือข่ายที่ประสานกันเป็น Network เพื่อสนับสนุนการทำสงคราม เป็นต้น
ในขณะที่ด้านกลุ่ม BRICS หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอินเดีย โดยสหรัฐฯเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรอินเดียเป็น 50 % โทษฐานอวดดีไม่ยอมทำตามสหรัฐฯที่ให้เลิกซื้อน้ำมันรัสเซีย ซึ่งอินเดียเป็นลูกค้ารายใหญ่มากกว่าจีน ทำให้บรรยากาศใน BRICS คึกคักขึ้น อย่างไรก็ตามหากการเจรจาระหว่างปูตินกับทรัมป์ที่อะแลสกาเป็นไปด้วยดี การแซงก์ชันผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียแบบ Secondary ก็อาจยกเลิกไปได้
แต่สภาพการผันผวนทางการเงิน ทำให้ทั่วโลกไม่เฉพาะ BRICS ได้ทุ่มเทความสนใจไปที่การซื้อทองคำเข้ามาเป็นทุนสำรองมากขึ้น ทั้งนี้ปริมาณทองคำสำรองรวมในธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้น 19 %ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น7 เท่า เป็น 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีรัสเซีย จีน อินเดีย ตุรเคีย และอุซเบกิสถาน เป็นผู้นำในการเพิ่มทองคำสำรอง แต่สหรัฐฯมีทองคำสำรองมากที่สุด
ส่วนสัดส่วนของทองคำสำรองอันดับสูงสุด คือ เวเนซุเอลา 82.4 % โปรตุเกส 80.1% สหรัฐฯ 79% เยอรมนี 70 % อิตาลี 65% ฝรั่งเศส 65 % รัสเซีย 34 % ส่วนจีนนั้นมีเพียง 7% แต่มีแผนเพิ่มสำรองอีกอย่างต่อเนื่อง ส่วนไทย 5% สูงสุดในอาเซียน
ทั้งนี้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การลดความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะในยามที่เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ
อนึ่งในขณะนี้รัสเซียเป็นผู้ที่มีการเคลื่อนไหวที่แข็งขันที่สุดในการใช้โลหะเป็นทุนสำรอง เช่น แร่เงิน ทองคำขาว และรัสเซียยังเปิดตลาดการขายโลหะทองคำที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งต่างจากตลาดโลหะในลอนดอน หรือโคเมคในนิวยอร์กที่ขายกระดาษ รวมทั้งการซื้อขายล่วงหน้าอันเป็นการเก็งกำไร และสร้างความผันผวนในตลาด โดยมูลค่าทองกระดาษเหล่านี้มีหลายสิบเท่าของมูลค่าทองแท่งจริงๆ ที่มีอยู่ในตลาด
สรุปผลของสงครามการเงินดอลลาร์คงไม่สูญพันธุ์แต่จะมีตลาดทางเลือก คือ BRICS ซึ่งคงยังไม่ออกเงินสกุล BRICS แต่จะใช้ระบบBRICS PAYเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ดอลลาร์ในการแลกเปลี่ยน และสหรัฐฯก็คงจะไม่ใช่ผู้นำเดี่ยวอีกต่อไป