วันที่ 13 ส.ค.2568 ในการประชุมสภาฯ มีการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 วาระ 2 นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งข้อสังเกตว่างบประมาณรวม 219,784,200 บาท ที่สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEP ได้รับเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Soft Power ของไทย ยังคงวัดความสำเร็จด้วย “จำนวนกิจกรรม” และ “จำนวนผู้เข้าร่วม” มากกว่าผลลัพธ์เชิงอิทธิพลในระดับนานาชาติ เพราะโครงการสำคัญเกือบทั้งหมด เช่น Thailand Festival หรือ Bangkok International Design Expo เป็นการจัดงานภายในประเทศ งบประมาณกว่า 197 ล้านบาท ในหมวด “ขับเคลื่อน Soft Power ด้านศิลปวัฒนธรรม” และ 22 ล้านบาท ในหมวด “ด้านออกแบบ”  ยังขาดหลักฐานชัดเจนว่าจะสร้างผลกระทบเชิงสากล เช่น การเพิ่มยอดผู้เข้าชมจากต่างประเทศ การเผยแพร่คอนเทนต์ไทยในสื่อต่างประเทศ หรือการผลักดันศิลปินไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลก

“แม้จะใช้คำว่า Ambassador Network แต่รายละเอียดกลับเน้นการเชิญบุคคลมาร่วมงาน ซึ่งอาจได้เพียงภาพคนดังในต่างประเทศออกงานอีเวนต์ แต่ไม่ได้ส่งออกเรื่องเล่าและอัตลักษณ์ไทยสู่สากล” นายธัญวัจน์ กล่าว

นายธัญวัจน์ กล่าวอีกว่า ความเสี่ยงและโอกาสที่สูญเสีย หาก Soft Power ถูกตีความแค่ว่าเป็น “งานอีเวนต์” จะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสสร้าง เรื่องเล่าของไทยสู่นานาชาติ งบหลายร้อยล้านอาจถูกใช้ไปกับงานที่มีอายุเพียงไม่กี่วัน โดยไม่มีผลระยะยาวในเชิงเศรษฐกิจหรือการทูตวัฒนธรรม และไม่มีแผนติดตามผลชัดเจน เช่น การวัดการรับรู้ไทยในต่างประเทศ การขยายตลาดคอนเทนต์ไทย หรือการเพิ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ

 “ตัวชี้วัดในการดำเนินงาน Soft Power  เน้น “กิจกรรม” และ “จำนวนคน” มากกว่าผลลัพธ์เชิงอิทธิพล วัดผลทางเศรษฐกิจเป็นเชิงกิจกรรม ไม่ใช่การวัดอิทธิพลระยะยาว ขาดการวัด “การรับรู้และการยอมรับ” ในตลาดต่างประเทศ และเสี่ยงต่อการตีความ Soft Power แคบเกินไป แทนที่จะสร้าง “เรื่องราวไทย” ที่เดินทางออกไปสู่โลก ผ่านสื่อ ศิลปะ วัฒนธรรม หรือบุคลากรที่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ เพียงแต่เน้นการดึงคนมาต่างประเทศหรือจัดงานภายในไทยเป็นหลัก ซึ่งเป็นเพียง การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (event tourism) มากกว่า การทูตวัฒนธรรม (cultural diplomacy)”นายธัญวัจน์กล่าว

นายธัญวัจน์ เสนอว่า ควรกำหนดตัวชี้วัดใหม่ใน 4 ด้าน คือการรับรู้ในต่างประเทศ (International Awareness) ,การเข้าถึงตลาดต่างประเทศ (Market Penetration) ,การมีส่วนร่วมของผู้ชมต่างประเทศ (Engagement) และอิทธิพลเชิงภาพลักษณ์ (Perception & Influence) ตัวอย่างตัวชี้วัดของประเทศเกาหลีใต้ ใช้ตัวชี้วัดยอดขายคอนเทนต์ K-Content และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการส่งออกแฟชั่น ดนตรี อาหาร ขณะที่ญี่ปุ่นใช้จำนวนแบรนด์ที่ขยายตลาดและมูลค่าส่งออกสินค้าวัฒนธรรม วัดผลความสำเร็จของโครงการ Cool Japan Fund

เพราะฉะนั้นขอเสนอให้ตัดงบ 5% หรือ 10,989,210 บาท จากวงเงินรวม และนำไปใช้สร้างระบบติดตามตัวชี้วัดเชิงอิทธิพล เช่น การทำวิจัยตลาดในประเทศเป้าหมาย การผลิตคอนเทนต์ส่งออก และการสร้างความร่วมมือกับสื่อนานาชาติ เพื่อให้ทุกบาทของงบ Soft Power สร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้จริงในระดับโลก ดังนั้นถ้าไทยยังวัดเพียงจำนวนผู้ร่วมงาน เราจะไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้