วันที่ 14 ส.ค.2568 เวลา 09.35 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2 เป็นวันที่สอง เริ่มพิจารณามาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ โดยนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณในส่วนขององค์การตลาาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ว่า มีสองโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบ69 อ.ต.ก. ของบทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท ตนขอถามตรงๆว่าทำไมลงต้องลงไปที่ จ.พะเยา ทำไมต้องกระจุกงบประมาณไปที่จังหวัดเดียว ในเมื่อภาษีเป็นของคนทั้งประเทศ และภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด แต่กลับทุ่มงบประมาณหลายสอบล้านบาทไปที่ตลาดกลางเพียงจังหวัดเดียว และเมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของจ.พะเยาไปยังประเทศลาว ต่ำกว่าจ.เชียงรายและน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาว นำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8 %เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่จ.เชียงรายและน่านไม่ใช่ที่จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า
“คำถามคือใครได้ประโยชน์จากการเลือกโครงการที่ลงที่จ.พะเยา การเลือกครั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจจริงๆ หรือการเมือง เพราะหากจะสร้างตลาดกลางที่ภาคเหนือจริงๆต้องกระจายไปหลายจังหวัด เชื่อมโยงกันด้วยระบบโลจิสติกส์และการส่งขนส่งเย็น ไม่ใช่ปักเสาหลักกองเดียว แล้วบอกว่านี่คือโครงการเพื่อพี่น้องทั้งภูมิภาค และถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะเสี่ยงต่อการเป็นตลาดผูกขาด เกษตรกรจังหวัดอื่นต้องแบกภาระต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องขายสินค้าให้คนกลางในราคาถูกอยู่ดี ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นตลาดล้างทำให้ภาษีของประชาชนหลาย
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก.ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก.ทำหน้าที่เป็น เอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯโครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติ คือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุดงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวงของโครงการ ตนจึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงกานี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุดและตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้
ต่อมาเวลา 11.15 น. นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า งบของกรมการข้าว วงเงิน 3.8 พันล้านบาท เงินก้อนใหญ่อยู่ที่แผนยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า 3.3 พันล้านบาท เป็นโครงการพัฒนาพันธุ์ข้าว เกือบ 2 พันล้านบาท และโครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว เกือบ 1.7 พันล้านบาท ตนจะไม่แปลกใจถ้าเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกรในการลดทุน แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของงบประมาณ พบว่าส่วนใหญ่เป็นงบครุภัณฑ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้าง เหลือเนื้องานจริงๆ ที่จะทำเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่กีร้อยล้านบาท ตนอยากเห็นเงินส่วนนี้ลงไปถึงชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เกิดการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้มากกว่านี้
นอกจากนี้ งบประมาณส่วนของกรมชลประทาน วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบก้อนใหญ่ที่สุด คนทั้งประเทศอยากเห็นการแก้ปัญหาภาพรวมเรื่องน้ำ รวมถึงแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซาก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหลายพื้นที่จะเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม ถามว่าการจัดสรรงบประมาณส่วนนี้ มีแผนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนด้วยหรือไม่