"เจ้าพระยา"ชี้สถานการณ์การเมืองไทยในเดือนสิงหาคม 2568 ร้อนแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อปัจจัยใหญ่สองประการมาบรรจบกัน คือวิกฤตความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาที่ขยายวงจากปัญหาชายแดนไปสู่ความรู้สึกของคนทั้งประเทศ และความเสี่ยงทางการเมืองของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญในคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ...*...
ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพลเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ยิ่งทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อไทยถูกจับตาหนักขึ้น ตัวเลขจากโพลสะท้อนว่าประชาชนถึง 95.04% ไว้วางใจการทำงานของกองทัพในการปกป้องผลประโยชน์ชาติจากความขัดแย้งกับกัมพูชา โดย 75.73% ระบุว่าไว้วางใจมาก และอีก 19.31% ระบุว่าค่อนข้างไว้วางใจ ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลับเผชิญระดับความไม่ไว้วางใจที่สูงลิ่วถึง 83.59% แบ่งเป็น 54.58% ไม่ไว้วางใจเลย และ 29.01% ไม่ค่อยไว้วางใจ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นกลไกสำคัญด้านการเจรจา ก็มีประชาชนถึง 75.04% ที่ไม่ไว้วางใจหรือไม่ค่อยไว้วางใจเช่นกัน ...*...
ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงบอกว่ากองทัพกำลังถูกมองเป็น “เสาหลัก” ในยามวิกฤต แต่ยังตอกย้ำว่ารัฐบาลสูญเสียความชอบธรรมในสายตาประชาชนอย่างต่อเนื่อง และยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมเผชิญแรงกดดันจากภายนอก การขาดศรัทธาต่อรัฐบาลย่อมทำให้แรงสนับสนุนโน้มเอียงไปทางการ “เปลี่ยนผู้คุมเกม” มากกว่าการให้ทีมเดิมแก้ปัญหาต่อ ...*...
แนวโน้มนี้ทำให้กองทัพซึ่งได้รับความเชื่อมั่นสูงสามารถเดินเกมตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้ง่ายกว่ารัฐบาลที่กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธา ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นแรงกดดันทางการเมืองที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขโพล และเมื่อผนวกเข้ากับการรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคลิปฮุน เซน ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของน.ส.แพทองธารเข้าสู่จุดเสี่ยงสูง ...*...
หลายฝ่ายเชื่อว่าคำวินิจฉัยมีโอกาสสูงที่จะไม่เป็นคุณต่อ น.ส.แพทองธาร เพราะหากศาลชี้ว่าการสนทนานั้นเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงหรือผลประโยชน์ของชาติ ก็อาจถูกตีความว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง มีผลให้พ้นจากตำแหน่งทันที และที่สำคัญคือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันต่อทุกองค์กร ทำให้คดีอื่น ๆ ทั้งในชั้นแจ้งความกล่าวโทษและฟ้องร้องทางอาญาจากกรณีเดียวกัน สามารถใช้เป็นน้ำหนักทางกฎหมายที่ยากจะต่อสู้ ...*...
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายภาคส่วนจึงมองว่า “การชิงลาออก” อาจเป็นกลยุทธ์ที่ น.ส.แพทองธารต้องพิจารณาอย่างจริงจัง แม้โฆษกพรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์ จะออกมาปฏิเสธว่าพรรคไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ แต่ในโลกการเมือง การปฏิเสธในที่สาธารณะไม่ได้แปลว่าปิดทางเลือกจริง เพราะไพ่สำคัญมักถูกเก็บไว้ใช้ในจังหวะสุดท้ายเพื่อสร้างความได้เปรียบ การเลือกอยู่ต่อในภาวะที่คะแนนความเชื่อมั่นต่ำกว่ากองทัพเกือบเท่าตัว อาจเป็นความเสี่ยงที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจแบกรับไหว การลาออกก่อนคำวินิจฉัยอาจช่วยลดแรงกระแทกจากผลตัดสิน ลดการถูกตีตราทางการเมือง และเก็บโอกาสกลับมาในอนาคต ...*...
แรงผลักที่ทำให้การลาออกกลายเป็นตัวเลือกจริงมีหลายปัจจัย ทั้งแรงกดดันจากโพลและสังคม ความเสี่ยงจากผลตัดสินที่อาจสร้างบาดแผลทางการเมืองถาวร แรงกดดันจากพรรคร่วมที่อาจถอนตัวเพื่อรักษาภาพลักษณ์ รวมถึงปัจจัยระหว่างประเทศที่อ่อนไหว เพราะคู่กรณีในคดีนี้คืออดีตผู้นำประเทศเพื่อนบ้านซึ่งยังมีอิทธิพลต่อรัฐบาลกัมพูชา นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์มองว่าการลาออกแม้ไม่ลบกระบวนการทางกฎหมาย แต่ช่วยลดแรงปะทะและรักษาภาพลักษณ์ความรับผิดชอบต่อสังคม ...*...
หากน.ส.แพทองธารตัดสินใจลาออก พรรคเพื่อไทยน่าจะเสนอชื่อชัยเกษม นิติศิริขึ้นแทนเพื่อรักษาความต่อเนื่องของรัฐบาล แม้ต้องเผชิญแรงท้าทายจากฝ่ายค้านและแรงต่อรองจากพรรคร่วม แต่การลงจากตำแหน่งด้วยภาพลักษณ์ของการรับผิดชอบ อาจทำให้น.ส.แพทองธารยังมีพื้นที่กลับมาเล่นการเมืองในอนาคต ในทางกลับกัน หากเลือกอยู่ต่อแล้วคำวินิจฉัยออกมาไม่เป็นคุณ ผลกระทบจะรุนแรงกว่า ทั้งการพ้นตำแหน่งทันที การถูกปิดประตูทางการเมือง และการสูญเสียความเชื่อมั่นที่ยากฟื้นคืน...*...
ในท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่แค่เกมการตัดสินใจของน.ส.แพทองธารคนเดียว แต่คือชะตาของพรรคเพื่อไทยและเสถียรภาพของรัฐบาลทั้งชุด ผลโพลนิด้าที่ชี้ว่าประชาชนไว้วางใจกองทัพมากกว่ารัฐบาลเกือบเท่าตัว คือสัญญาณเตือนแรงว่าความชอบธรรมกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว และทุกชั่วโมงที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใกล้เข้ามา คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่าแพทองธารจะอยู่หรือไป แต่คือน.ส.แพทองธารจะเลือก “ไปอย่างไร” เพื่อไม่ให้ตัวเองและพรรคต้องจบลงด้วยภาพที่เสียหายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ...*...