SET INDEX เคลื่อนไหว 1,270–1,285 จุด หนุนเงินทุนต่างชาติ-ลดดอกเบี้ย แต่ตลาดระวังความร้อนแรง

วันที่ 14 ส.ค.68 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 463 จุด (+1%) ปัจจัยหนุนยังมาจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.7% หลังจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

เมื่อวานที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1.5% โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวใกล้เคียงกับที่คณะกรรมการประเมินไว้ อย่างไรก็ตามภาษีของสหรัฐฯจะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขันรวมถึงเศรษฐกิจบางส่วนที่มีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SME ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน คณะกรรมการเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีการปรับตัว

เมื่อมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังมีแนวโน้มชะลอลงจากครึ่งแรกจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค ซึ่งท้ายที่สุดอาจกระทบกับการบริโภค ด้านสินเชื่อหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะใน SME และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ เรามองปัจจัยข้างต้นจะสร้างแรงกดดันกับตลาดหุ้นในช่วงถัดไปรวมถึงกลุ่มอิงการบริโภค แม้การลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการอาจเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่หากไปดูผลประกอบการกลุ่ม BANK จะพบว่าส่วนต่างดอกเบี้ยอาจปรับลง (NIM) แต่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มีรายได้มิใช่ดอกเบี้ยที่ขยายตัวทำให้ท้ายที่สุดกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับขยายตัว การลดดอกเบี้ยจึงมิได้กระทบกลุ่ม Bank อย่างมีนัยยะ การลดดอกเบี้ยเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อกลุ่มที่มีต้นทุนเป็นดอกเบี้ย อาทิ การเงิน และ อสังหาฯ

สำหรับสหรัฐฯเมื่อคืนไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่นักลงทุนยังมองบวกกับการลดดอกเบี้ยของ FED ทำให้ US Bond Yield ยังคงปรับลงพร้อมกับ Dollar Index ดังนั้นกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลเข้าสุทธิหุ้นไทย แม้วานนี้จะมีสถานะขายสุทธิราว 6.6 พันล้านบาทแต่เป็นไปได้ว่ามาจาก TIDLOR หากหักออกไปจะกลายเป็นสถานะซื้อสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1270 – 1285 แม้มีปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติและการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยแต่วานนี้ที่ปรับขึ้นมาราว 1.46% ทำให้ตลาดมีแนวโน้มลดความร้อนแรงประกอบกับเช้านี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลงเล็กน้อย 0.2% ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเพราะ Valuation ที่สูงประกอบกับพื้นฐานมิได้แข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตามในเชิงเก็งกำไรระยะสั้นเลือกกลุ่มการเงิน (MTC SAWAD) อสังหาฯ (AP SPALI) ค้าปลีก (CPALL CPAXT) 

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท) 
Valuation ที่น่าสนใจ ปัจจุบันซื้อขายที่ราว 15xPE’25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต พร้อมด้วยผลตอบแทนเงินปันผลคาดหวังระดับ 3% โดยรายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 6.8 พันล้านบาท (+9%YoY) หลังตัดรายการพิเศษมีกำไรปกติ 7 พันล้านบาท (+14%YoY, -7%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาดหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 30 bps YoY

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท) 
ผลการดำเนินงานใน 2Q25 แข็งแกร่ง กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.65 พันล้านบาท (+14% YoY, +5% QoQ) และ NPL ratio ลดลงเหลือ 3.6% แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H25 คาดจะขยายตัวต่อเนื่องทั้ง YoY และ HoH หนุนจากสินเชื่อขยายตัว และต้นทุนการเงินลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยลดลง 

#SETINDEX #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #เงินทุนต่างชาติ #ลดดอกเบี้ย #CPALL #MTC #เศรษฐกิจไทย #Trading #ลงทุน