ถกงบฯ69วันแรก! “พิชัย” แจงรายงานกมธ.หั่นงบฯ 8,920 ล้าน เหตุไม่สอดคล้องภาาวะปัจจุบัน-เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย “ปชน.” ถล่มยับอัดรบ.หูหนวก-ตาบอด เทงบฯ “รพ.ราชทัณฑ์” จัดซื้อแพงเว่อร์ “จุลพันธ์” โวมีกระสุนขับเคลื่อนศก. พอ สภาฯเห็นชอบภาพรวม 256 ต่อ 138 เสียง ด้าน “องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน” ชี้ 1 ปีรัฐบาล“แพทองธาร”ไร้ทิศทาง-ไร้กลไก-ไม่ตั้งใจปราบโกง“กกต.”ยันเร่งพิจารณาคดีฮั้วสว.ชี้ข่าวใช้เวลา 8 เดือนคลาดเคลื่อน ย้ำไม่กดดัน
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาฯ โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จ เป็นวันแรก
โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ในฐานะประธานกมธ.ฯ รายงานผลการพิจารณาต่อที่ประชุมว่า การพิจารณารายละเอียดได้พิจารณาตามความจำเป็น คำนึงถึงฐานะการคลัง การขับเคลื่อนของหน่วยงานภายใต้ความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมมีข้อสังเกตในภาพรวม เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2569 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลกระทบต่องบประมาณ ทั้งส่วนของรายได้และรายจ่าย การเตรียมงบเพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศ เศรษฐกิจหลัก และการจัดการหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะยาว เพื่อให้มีพื้นที่การคลังไว้ใช้ในยามเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต และให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาแต่ละจังหวัดที่แตกต่างไปในแต่ละบริบทพื้นที่ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม และหน่วยรับงบประมาณควรแสดงงบประมาณส่วนเงินนอกงบประมาณต่อแผนงานประจำปีเพื่อให้การพิจารณาครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
“การทำงานของกมธ. ปรับลดงบประมาณ 8,920 ล้านบาท โดยพิจารณาความสอดคล้องในสถานการณ์ปัจจุบัน ความคุ้มค่า ศักยภาพในการใช้จ่ายเงิน เช่น งบประมาณไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันปีงบประมาณหรือรายการผูกพันงบประมาณเดิมที่ต่ำกว่างบประมาณเสนอไว้ รายการไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันหรือดำเนินการไปแล้ว แต่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ รายการที่ชะลอได้ โดยไม่กระทบภารกิจให้บริการประชาชนหรือทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ส่วนที่ยกเลิกหรือใช้งบจากส่วนอื่นนอกจากงบประมาณได้ เช่น เงินที่จัดเก็บเอง เงินสะสมคงเหลือ เงินนอกงบประมาณ
นายพิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการเพิ่มงบประมาณได้พิจารณาตามความเหมาะสม จำเป็นเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ได้แก่ งบกลาง เพื่อเงินสำรองกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำนักนายกฯ เพิ่มในส่วนเงินเดือนของบุคลากรของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง ได้เพิ่มให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อใช้จัดการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก ในปี69 กระทรวงพัฒนาสังคม ค่าใช้จ่ายสนับสนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคนพิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“กมธ.ได้เปลี่ยนแปลงรายจ่าย ใน 2 ส่วนคือ ลดงบกระทรวงสาธารณสุข 70 ล้านบาท ส่วนการถ่ายโอนบุคลากร เพื่อเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบุคลากรสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรใน สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และลดงบกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 114 ล้านบาท เพื่อให้กับเทศบาลเมือง 3 แห่งและเทศบาลตำบล 1 แห่ง หลังยุบรวมอบต. ภายใต้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย รวมกับเทศบาล” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า สำหรับการพิจารณารายละเอียดงบประมาณ ปรับลด เพิ่มและเปลี่ยนแปลง งบประมาณ กมธ.ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ต่อความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อน เป้าหมายดำเนินงาน ผลการดำเนินงานและภารกิจกระตุ้นเศรฐกิจ การแก้ปัญหาของประชาชนและ ประโยชน์โดยตรงกับประชาชน รวมถึงสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต เข้มแข็ง รองรับปัจจัยภายในและภายนอกอย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการดำเนินงานไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ เพื่อให้อยู่ในกรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท
ต่อมานายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า งบก่อสร้างที่คณะอนุกรรมาธิการก่อสร้างขอมามีกว่า 320,000 ล้านบาท มีปัญหา 8ด้านคือ 1.ขอในสิ่งไม่ควรขอ เช่น บ้านพักผบ.ตร.และรองผบ.ตร. รวม 7 หลัง 91 ล้านบาท อ้างว่าเป็นศูนย์บัญชาการ แต่ออกแบบเป็นบ้านพัก มีห้องจัดเลี้ยง หรืองบสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า 3,800ล้านบาท พิพิธภัณฑ์ฝนหลวง เพชรบุรี 450ล้านบาท ทั้งที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่แล้วทั้งประเทศ 1,500 แห่ง แต่ขอสร้างไม่เลิก
2.ขอสร้างอาคารขนาดใหญ่เกินความจำเป็น เช่น ตึกกระทรวงคมนาคม 3,832ล้านบาท เหมาะกับคน 3,000 คน แต่อยู่จริงแค่ 1,000 คน ผลาญงบกว่า 2,000 ล้านบาท 3.ราคาต่อหน่วยแพงเกินจริง เช่น โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถูกลดงบ 47% จาก 260 ล้านบาท เหลือ137 ล้านบาท เพราะค่าตกแต่งภายในแพงมาก เช่น งาน Built in ราคาเมตรละ 1แสนบาท แพงกว่าราคาตลาด 5-10 เท่า ประตูบานละ 1 แสนบาท เคาเตอร์เวชระเบียน 2 ล้านบาท ตู้ใส่รองเท้าคนไข้ 7 แสนบาท ตู้ใส่ผ้าอบ 2ล้านบาท
4.ไม่บูรณาการการใช้สอยอาคารร่วมกัน กลายเป็น 1กรม 1สำนัก 1ตึก อยู่จังหวัดเดียวกัน ก็สร้างแยกกัน 5.ชอบสร้าง ไม่ชอบเช่า เพราะอยากมีเอี่ยวการจัดซื้อจัดจ้าง 6.อยากเป็น Operator สร้างแข่งกับเอกชน เช่น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอสร้างตึก อาคารสำนักงานและจัดนิทรรศการ 873ล้านบาท แทนที่จะไปขอเช่าตึกจากเอกชนได้ราคาถูกกว่า 7.ใช้ที่ดินเปลือง 8.จัดสรรงบผิดฝา ผิดตัว เช่น กระทรวงกลาโหมไปแข่งสร้างถนน ทำน้ำประปา เจาะบ่อบาดาล ลอกคลอง ผลิตยา สร้างโรงพยาบาลกับหน่วยงานอื่ร ตั้งงบไร้ประสิทธิภาพทั้งสิ้น
ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า การจัดสรรงบฯ 69ไม่ตรงจุดไม่ตอบโจทย์รับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ และสงคราม ไม่โทษกมธ. แต่โทษรัฐบาลที่หูหนวก ไม่ฟังเสียงสภา ตาบอดไม่พิจารณางบประมาณที่มีความจำเป็นกับประชาชนและภาวะประเทศ เพราะรัฐบาลขาดเข็มทิศ สิ่งที่เศรษฐกิจต้องการคือ เม็ดเงินลงทุน สร้างการเติบโตประเทศ ไม่ใช่กระจุกตัวเฉพาะผู้รับสัมปทานบางกลุ่ม ถ้ารัฐบาลเตรียมร่างพ.ร.บ.งบฯ69 ดีเพียงพอ นักลงทุนจะเห็นเป้าหมาย สิ่งที่อยากเห็นในงบลงทุนคือ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การต่อยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ปลูกโซลาร์บนหลังคาประชาชน โดยให้รัฐบาลร่วมลงทุน ช่วยประชาชนลดค่าไฟ แต่ร่างพ.ร.บ.งบฯ69 คิดไม่รอบคอบ คิดไม่ลึก จึงขอปรับลดกรอบวงเงิน
ต่อมาเวลา 12.30 น. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า ข้อห่วงใยเรื่องการจัดเก็บรายได้ในงบปี 69 อาจไม่เข้าเป้านั้น กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า มีศักยภาพเพียงพอจัดเก็บรายได้อย่างเหมาะสม ไม่มีผลกระทบต่อการใช้งบประมาณ ยืนยันการจัดเก็บรายได้ลุล่วง งบรายจ่าย 3.78ล้านล้านบาท มีความเหมาะสม หากปรับลดจะเป็นผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจ กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนกระสุนต่างๆมีเพียงพอ ทั้งเงินคงคลัง เงินทดรองราชการ ตามกลไกที่มีอยู่ถือว่าเพียงพอแก้ปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต และยืนยันว่าการจัดทำงบ69 มีความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไม่ได้ปรับลด หรือโยกงบประมาณใช้ผิดกฎหมาย ส่วนการกู้เงิน ถ้าดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว
ทั้งนี้หลังจากอภิปราย มาตรา 4 นานเกือบ 4 ชั่วโมง ที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตราดังกล่าวด้วยคะแนน 256ต่อ 138 งดออกเสียง 73 ไม่ลงคะแนน1
ด้าน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดย นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรฯ เผยแพร่บทความผ่านเพจองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อว่ารัฐบาลตั้งใจทำดีเพื่อบ้านเมือง แม้จะอธิบายว่าการผลักดันโครงการต่างๆ โดยวิกฤตความไม่ไว้วางใจนี้เกิดจากประเทศที่เต็มไปด้วยคอร์รัปชัน แต่รัฐบาลกลับไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นว่าสนใจจะปราบปราม และคนไทยเจอนักการเมืองที่พร้อมจะโกงหรือหลับตาข้างหนึ่งให้พวกพ้องมามากแล้ว
ส่วนที่ สำนักงาน กกต. ได้ชี้แจงกรณีที่มีการนำเสนอข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ ว่าเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ที่ระบุว่านายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.กล่าวว่าใช้เวลาราว 8 เดือน ในการพิจารณาคดีทุจริตการเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.)2567นั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่าเป็นเพียงการอธิบายขั้นตอนและกรอบเวลา ตามประกาศ กกต.เรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมของสำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 เท่านั้น ไม่ใช่ระยะเวลาที่ต้องใช้จริง และได้ชี้แจงขั้นตอนเพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจถึงขั้นตอน และกรอบระยะเวลาตามกฎหมายของ กกต.เพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เวลาในทุกขั้นตอนจนถึงระยะเวลา 8 เดือน ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้กล่าวถึง
โดยสำนักงาน กกต.ได้ดำเนินการในแต่ละขั้นตอน ด้วยความรวดเร็วและรอบคอบ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่ากรอบเวลาที่กำหนดไว้ แต่เนื่องจาก สำนวนนี้มีพยานหลักฐานเป็นจำนวนมาก จึงอาจต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และในขณะนี้การดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขั้นตอนที่ 2 และเป็นไป ตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และที่แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2566 ซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ ชั้นที่ 1 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เมื่อได้รับสำนวนแล้วให้ดำเนินการสืบสวน หรือไต่สวนและจัดทำความเห็น เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ ให้จัดส่งสำนวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (ส่วนกลาง) โดยเร็วชั้นที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ส่วนกลาง) ได้รับสำนวนแล้วให้พนักงานสืบสวน และไต่สวนผู้รับผิดชอบสำนวนดำเนินการวิเคราะห์สำนวนและจัดทำความเห็นเสนอผ่านผู้อำนวยการฝ่าย รองผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนัก และเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (รองเลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับมอบหมาย)ชั้นที่ 3 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง เมื่อคณะอนุกรรมการวินิจฉัย ชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งได้พิจารณาแล้วจะทำความเห็น และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอสำนวน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาชั้นที่ 4 คณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับสำนวน จากคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งแล้ว ต้องพิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการโดยเร็ว
ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการ ยุติธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 มีขั้นตอนการวิเคราะห์สำนวนและเสนอความเห็น โดยเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 60 วัน ขั้นตอนการพิจารณาของ คณะอนุกรรมการวินิจฉัย ฯ กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 90 วัน และขั้นตอนการพิจารณาของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 90 วัน
สำนักงาน กกต.ยังย้ำด้วยว่า การพิจารณาดำเนินคดีเป็นไปตามกระบวนการ และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันใด ๆ และหากมีเหตุจำเป็นอันสมควร สามารถ ดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่ากรอบเวลาที่กำหนดได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย พร้อมขอให้ประชาชน รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนเผยแพร่ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นต่อบุคคลและองค์กร