“กองทัพไทย” วางกำลังที่มั่น 11 พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่นพร้อมตอบโต้ทันที หากถูกรุกล้ำอธิปไตย ยันรักษาอธิปไตยของไทย ไม่ให้ใครล่วงล้ำ แม้แต่ตารางนิ้วเดียว “กองทัพภาค 2” ขออย่าตื่นตระหนก “ข่าวปลอม” แนะติดตามข่าวจากเพจทางการเท่านั้น ส่วน “ภูมิธรรม” ยัน “กต.” เตรียมฟ้อง “ยูเอ็น” เอาผิด “กัมพูชา” ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา “มาริษ” สายตรง “เลขาฯ UN-รมว.กต.ญี่ปุ่น” ขอใช้กลไก“ออตตาวา” สอบเขมร พร้อมขอมาเลเซีย-สิงคโปร์กดดัน “กัมพูชา” ร่วมเก็บกู้ เมิน “กต.กัมพูชา” ฟ้อง UNSC อีกรอบ ชี้หลักฐานไม่มี
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 จนถึงเช้าวันนี้ (วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2568 เวลา07.00 น.) เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีการปะทะ โดยกองทัพไทย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นอย่างแข็งขันใน 11 พื้นที่ 7 จังหวัด และพร้อมตอบโต้ หากถูกรุกล้ำอธิปไตยทันที โดยฝ่ายไทย ยังยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุม GBC ที่ผ่านมา แต่ยังพบการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและสนธิสัญญา ออตตาวา ของกัมพูชาอย่างร้ายแรง
ด้าน กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน “อย่าตื่นตระหนก” ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางที่เป็นทางการและเชื่อถือได้เท่านั้น ตามที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ส่งผลให้สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชาได้คลี่คลายลงเป็นลำดับ และปัจจุบันประชาชนได้เดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเองเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ปรากฏการเผยแพร่ข่าวสารจากช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่เป็นทางการ โดยมีเนื้อหาระบุว่าจะเกิดเหตุปะทะขึ้นอีก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นข้อเท็จจริง และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความตื่นตระหนก และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เพื่อป้องกันการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือบิดเบือน ขอให้ประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และติดตามข้อมูลจากช่องทางอย่างเป็นทางการเท่านั้น เช่น เพจ “กองทัพบก” และเพจ “กองทัพภาคที่ 2” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงต่อสถานการณ์ในพื้นที่ และสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง และทันเวลา
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตนได้รับทราบแล้ว และขอแสดงความเสียใจต่อนายทหารท่านนี้ ส่วนที่มีทหารระบุ หลังจากเกิดกรณีนี้ต้องมีการปกป้องตนเองนั้น ตนคิดว่า ตามสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศสามารถทำได้ ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่กระทบและเป็นปัญหาที่ผิดอนุสัญญาต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ระเบิด ซึ่งผิดอนุสัญญาออตตาวาอยู่แล้ว ซึ่งต้องไปดำเนินการยื่นเรื่องฟ้องร้องกับทางสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ทางยูเอ็นจะมีขั้นตอนในการที่จะแจ้งให้ทั้งสองฝ่ายทราบ และจะมีกระบวนการที่จะดำเนินการต่อไป ตรงนี้สามารถทำได้ตามกฎหมาย
“เมื่อเช้าวันเดียวกัน (13 ส.ค.) ได้คุยกับกระทรวงการต่างประเทศ เขาเตรียมพร้อมที่จะยื่นฟ้องอยู่ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้เห็นได้ชัดว่า ความประสงค์ของกัมพูชาไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เกิดสันติภาพ”
“รัฐบาล ยืนยันว่า อะไรที่ขณะนี้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังพลในการรักษาอธิปไตยของประเทศ รัฐบาลนี้ไม่ขัดข้อง ได้มีการเปิดงบกลางให้ได้ใช้อยู่แล้ว” นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อวาน(12ส.ค.) ตนได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นจะเป็นประธานการประชุมรัฐภาคี อนุสัญญาออตตาวา ในเดือน ธ.ค. นี้ เพื่อขอให้ใช้กลไกในกรอบอนุสัญญาออตตาวา ไต่สวนการกระทำของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายเลขาธิการของอนุสัญญาออตตาวา ได้มีหนังสือตอบกลับมาแล้ว และในวันที่ 15 ส.ค. จะมีการพูดคุยกับประเทศผู้บริจาคในกรอบอนุสัญญาออตตาวา เพื่อให้เห็นการดำเนินการของกัมพูชา โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา หรือ GBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยเสนอเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่กัมพูชากลับปฏิเสธ พร้อมยังโทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ เพื่อขอให้ใช้กลไกอาเซียนกดดันให้กัมพูชาร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้ส่งจดหมายร้องเรียน ต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC และเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาฝ่ายไทยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงทวิภาคี และเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้อย่างต่อเนื่องนั้น นายมาริษ กล่าวยืนยันว่า ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ฝ่ายไทยมีข้อมูลชัดเจน เกี่ยวกับการยั่วยุของกัมพูชา และการวางทุ่นระเบิด และในที่สุด UNSC ก็ไม่ได้มีการประชุมเรื่องนี้อีกครั้งแต่อย่างใด