“ปชน.” ห่วงผลประโยชน์ทับซ้อนโครงการ “ซอฟต์พาวเวอร์” มึนหน่วยงานรัฐจัดแข่งพนันโปกเกอร์  ด้าน “ภคมน” เย้ยงบสื่อภาครัฐเหมือน “ไลน์หมู่บ้าน” ตอกรายการสถานการณ์ปะทะไทย-กัมพูชาล้มเหลว จี้สังคายนางบประชาสัมพันธ์รัฐ ขณะที่ “ณัฐพงศ์” ชงหั่นงบก่อสร้างอาคารราชการกองทัพบก 5% กังขาทำงบไม่ผูกพัน แต่ขอต่อเนื่อง 9 ปีซ้อน ด้าน ’ชยพล‘ แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสให้ผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจง ยันกมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็คความพร้อมให้ทหาร

วันที่ 13 ส.ค.2568 เวลา 15.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ ที่มีนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯคนที่สอง เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จ เป็นวันแรก ต่อมาเข้าสู่การพิจารณามาตรา 7 สำนักนายกรัฐมนตรี ที่กมธ.ปรับลดเหลือ 26,001,638,100บาท จากเดิม 26,336,668,300บาท โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงการจัดสรรงบประมาณโครงการซอฟต์พาวเวอร์ 5ข้อได้ 1.การเพิ่มงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์สูงมาก ถึง 72%  จากเดิมปี2568 ได้ 2,300ล้านบาท แต่ปี2569 ได้งบเพิ่มเป็น 3,900ล้านบาท ทั้งที่ตัวชี้วัดจำนวนนักท่องเที่ยวปีที่ผ่านมาไม่เพิ่มขึ้น 2.รัฐบาลใช้วิธีฝากงบซอฟต์พาววอร์ในหน่วยงานต่างๆ 27หน่วยงาน 9กระทรวง แทนที่จะมีหน่วยรับงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์โดยตรง เบียดเบียนงบประมาณจำเป็นของหน่วยงานอื่นๆ 3.การตั้งแผนงานซอฟต์พาวเวอร์ใหม่หลายเรื่อง แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงกันติด ไม่มีตัวชี้วัดผลสำเร็จโครงการ งบซอฟต์พาวเวอร์หลายหน่วยงานซ้ำซ้อนกัน 4.จัดงบซอฟต์พาวเวอร์แบบเน้นเพิ่มกิจกรรมเดิมๆ มากกว่ามีกิจกรรมใหม่ๆ 5.รัฐบาลไม่มีแนวทางชัดเจนป้องกันความเสี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนโครงการซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเส้นบางๆระหว่งการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ กับการเปิดให้เอกชนชงงานเอง รับงานเอง ควรวางกฎเกณฑ์ป้องกันบริษัทเอกชนใช้ความสัมพันธ์จากการเป็นคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์มารับงาน

ด้านนายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน อภิปรายว่า จากที่มีข่าวการแข่งขันโปกเกอร์แห่งประเทศไทย ครั้งแรกที่สุขุมวิท วันที่ 31ก.ค.-5ส.ค. ชิงเงินรางวัล 37ล้านบาท มีผู้เข้าแข่งขันเป็นพันคนทั้งคนไทยและต่างประเทศ จุดเริ่มต้นรายการดังกล่าวมาจากสำนักงานส่งเสริมและการจัดประชุมและนิทรรศการ สนับสนุนและอำนวยความสะดวกการแข่งขัน ใช้งบประมาณจากแผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ที่ได้รับงบ69 จำนวน  582 ล้านบาท ทั้งที่พันธกิจหน่วยงานคือ มีหน้าที่จัดนิทรรศการและการประชุมเป็นหลัก แต่สำนักงานส่งเสริมและการจัดประชุมและนิทรรศการ ไปร่วมมือกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา จัดแข่งโปกเกอร์ เตรียมการตั้งแต่เดือนเม.ย.2568 อ้างเป็นกีฬาสาธิต ต่อมาการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.)อนุมัติให้โปกเกอร์เป็นกีฬา ก่อนจัดแข่งขันแค่วันเดียว มีรมว.มหาดไทยร่วมออกคำสั่งยกเลิกโปกเกอร์เป็นการพนัน

“จึงถูกสังคมตั้งคำถาม เพราะการแข่งขันวันสุดท้าย มีผู้ได้รับเงินรางวัล 11 ล้านบาท เป็นชาวจีน มีเงินรางวัลล่อใจ การแข่งขันเสมือนนิติกรรมอำพราง มีการเปิดไพ่ทุกครั้งในการเล่น คือการเสี่ยงโชค มีการวางเดิมพัน เมื่อรวม 2 สิ่งนี้คือการพนัน เหตุใดสำนักงานนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง การจัดแข่งขันไม่ตรงกับพันธกิจของหน่วยงาน จึงกังวลกับงบประมาณที่สำนักงานฯได้รับ”นายปรีติ กล่าว

ขณะที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา คนไทยทั้งประเทศตั้งคำถามถึงการสื่อสารของรัฐบาลที่ไม่เป็นเอกภาพ สะท้อนปัญหาทีมสื่อสารรัฐบาลขาดเอกภาพบังคับบัญชาการสื่อสารภาครัฐ ทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาล ยกตัวอย่างโครงการฝึกอบรมยกระดับทีมสื่อสารภาครัฐรุ่นใหม่ กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรสำนักโฆษก ใช้ 445,000 ล้านบาท ตั้งงบมา2ปี ผลลัพธ์อยู่ตรงไหน ถึงเวลาต้องสื่อสารกลับล้มเหลวทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้ขาดการอบรม แต่ขาดศักยภาพการสื่อสาร หรือโครงการ LINE OFFICIAL ไทยคู่ฟ้า งบประมาณ 4.7ล้านบาท ขอทุกปี แม้กมธ.พยายามเสนอตัดงบ แต่ท่านยืนยันต้องมีไว้เป็นช่องทางทำงานเชิงรุกของรัฐบาล

“แต่ข่าวที่นำเสนอหาอ่านได้ทั่วไป  ไลน์หมู่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องเอางบปีละเกือบ 5ล้านบาทไปใช้ บทบาทการสื่อสารภาวะวิกฤต กรมประชาสัมพันธ์ควรมีบทบาทนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนทราบ สถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ต้องทบทวนสังคายนางบประชาสัมพันธ์ภาครัฐ”น.ส.ภคมน กล่าว

หลังสส.อภิปรายครบถ้วน ที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตรา 7

ต่อมาเวลา 17.30 น. นายณัฐพงศ์ เปรมพูสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม เนื่องจากหน่วยงานที่มีการก่อสร้างอาคารราชการมากที่สุดนับเฉพาะปี 69 คือ กองทัพบก โดยสร้างอาคารราชการถึง 4.7 พันล้านบาท ถือเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ โดยที่กรรมาธิการ (กมธ.) ปรับลดงบประมาณไปเพียง 30 ล้านบาท ไม่ถึง 1% ที่เป็นงบประมาณการก่อสร้างของกองทัพบก ซึ่งไม่มีงบผูกพันแม้แต่โครงการเดียว และหากไปไล่ดูกองทัพต่างๆในสังกัดกระทรวงกลาโหม ล้วนติดอยู่ในท็อป 10 ทั้งสิ้น ซึ่งทุกหน่วยงานมีโครงการเป็นงบผูกพันทั้งสิ้น มีเพียงกองทัพบกหน่วยงานเดียวที่ไม่มีโครงการผูกพันแม้แต่โครงการเดียว หากดูผิวเผินจะมองว่ากองทัพบกเก่งมาก โครงการทั้งหมดสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีเดียว แต่หากย้อนกลับไปช่วงปี 61-69 จะพบว่าในส่วนโครงการต่างๆ ที่มีการของบประมาณในการก่อสร้างแบบปีเดียว ความจริงแล้วเป็นการขอปีเดียวแบบขอมาซ้ำทุกปี ทั้งหมด 47 รายการ มีเพียง 3 รายการที่ของบครั้งแรก ที่เหลือ 44 รายการ เคยของบประมาณในปีงบประมาณก่อนหน้านี้มาแล้วทั้งสิ้น

“47 โครงการ สิ่งที่เราเห็นคืองบ 4.7 พันล้านบาท แต่ถ้าดูตัวเลขที่รวมโครงการผูกพันที่ดูเหมือนจะไม่ผูกพัน จะเห็นความจริงว่าไม่ใช่แค่ 4 พันกว่าล้านบาท แต่ใช้งบมากถึง 3.2 หมื่นกว่าล้านบาท” นายณัฐพงษ์ กล่าว และว่า กองทัพบกตั้งงบประมาณลักษณะแบบนี้ เพราะจะทำให้พวกเราไม่สามารถเห็นตัวเลขงบประมาณภาพรวมได้ ไม่ทราบว่าโครงการต่างๆ จะแล้วเสร็จช่วงไหน และประชาชนตรวจสอบความคืบหน้าไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเราเข้าใจว่าหลายโครงการมีความจำเป็น แต่รูปแบบการตั้งงบประมาณ ควรเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานด้านความมั่นคงหน่วยงานอื่น จึงขอปรับลดงบการก่อสร้างอาคารราชการของกองทัพบกลง 5%

ด้านนายชยพล สท้อนดี สส.กทม พรรคประชาชน อภิปรายในมาตรา 8 เกี่ยวกับงบกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท ว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ทั้งนี้ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฎว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลยจะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่

“นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” นายชยพล กล่าว

ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า ปีนี้งบประทรวงกลาโหมปรับลดน้อย เนื่องจากเป็นปีที่มีปัญหาขัดแย้งรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กมธ.จึงพิจารณางบของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ อาจจะไม่ตรงกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ เพราะสถานการณ์วันนี้ต้องแสดงให้ศัตรูเห็นว่าประเทศไทยร่วมแรงร่วมใจกันทุกมิติ จึงไม่มีการปรับลดงบประมาณมาก

ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า ยืนยันว่ากมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่าให้กองทัพ แต่ทำหน้าที่ตรวจเช็คความพร้อมให้กองทัพและพร้อมสนับสนุนกองทัพ ซึ่งการสนับสนุนทหารไม่ใช่การสนับสนุนสงคราม ทหารไทยไม่ได้แบกปืน แต่แบกความหวังการป้องกันประเทศด้วย

จากนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับมาตรา 8 ตามกมธ.เสียงข้างมาก ด้วยคะแนน 254 เสียง ไม่เห็นด้วย 137 เสียง งดออกเสียง 18 เสียง