วันที่ 13 ส.ค.68 ที่ป.ป.ส.พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. บูรณาการความร่วมมือกับ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย, ชปส.บก.ตชด.ภาค 4, กองบังคับการตำรวจทางหลวง และ สภ.รัตภูมิ จับกุม นายสถาพร (สงวนนามสกุล) พร้อมไอซ์ 264 กก. ซุกซ่อนในรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ในข้อกล่าวหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” เหตุเกิดที่ สถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน อาทิเช่น รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ทองรูปพรรณ อายัดเงินในบัญชีธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 2,000,000 บาท
พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. สืบสวนติดตามพฤติการณ์ขบวนการลำเลียงยาเสพติดที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อซุกซ่อนยาเสพติด จากพื้นที่ภาคกลาง ก่อนจะลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ภาคใต้ กระทั่งวันที่ 11 สิงหาคม 2568 เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบรถบรรทุกสิบล้อที่คาดว่าใช้ลำเลียงยาเสพติด ขับอยู่ในพื้นที่ ต.ท่ามิหรำ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง มุ่งหน้าเข้าพื้นที่ จ.สงขลา ตนจึงได้สั่งการให้ นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. สั่งการชุดปฏิบัติการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวนติดตามรถบรรทุกสิบล้อคันดังกล่าว ต่อเนื่องวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 22.00 น. พบรถคันดังกล่าวจอดอยู่ในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้นรถบรรทุกสิบล้อต้องสงสัย พบนายสถาพรฯ เป็นผู้ขับขี่ จากการตรวจค้น พบไอซ์ 294 กก. (บรรจุอยู่ในกระสอบ 12 ใบ) ซุกซ่อนอยู่ในรถบรรทุกสิบล้อ จึงทำการจับกุมนายสถาพรฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ขยายผลตรวจค้นบ้านพักผู้ต้องหารวม 2 จุด (จ.พัทลุง, จ.นครศรีธรรมราช) ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน อาทิเช่น รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ทองรูปพรรณ อายัดบัญชีธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 2,000,000 บาท
พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายการค้ายาเสพติด และรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้ถึงระดับนายทุนผู้สั่งการ รวมทั้งใช้มาตรการขยายผลการสืบสวนเพื่อติดตามหาทรัพย์สิน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดทั้งหมดมาดำเนินคดีไปควบคู่กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดอย่างเป็นระบบต่อไป