เมื่อเวลา 12.05 น. วันที่ 13 ส.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุมศบ.ทก. ว่า สถานการณ์โดยทั่วไปในห้วงเวลาที่ผ่านมาอยู่ในภาวะปกติ ฝ่ายไทยมีการเฝ้าระวังมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตเห็นหรือสังเกตุพบฝ่ายกัมพูชา เรื่องของการเสริมที่มั่นให้แข็งแรงในพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน ซึ่งยังถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า การปฎิบัติของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวของอาเซียน ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) สมัยวิสามัญ โดยการนำผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน ที่มีผู้ช่วยผู้ทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย มีแผนลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ผลกระทบต่างๆ รวมไปถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบเพื่อแสดงความโปร่งใส ความจริงใจของฝ่ายไทย ตามหลักปฏิบีติสากล โดย ศบ.ทก. ได้รับรายงานจากกองกองทัพไทยในการประชุมว่า มีแผนที่จะนำคณะผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน เป็นผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวไปลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 14 ส.ค. 

แล้วก็ในพื้นที่กองทัพภาค 2 ที่เกี่ยวข้อง และจะมีการสรุปผลหลังจากการลงพื้นที่ในวันที่ 15 ส.ค. เพื่อทบทวนแผนการปฎิบัติที่ต่อเนื่องในห้วงเวลาระยะเวลาต่อไป

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เรื่องของการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการเสริมสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทางศบ.ทก. โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบ.ทก. มีความห่วงใย และเร่งหาแนวทางในการประสานความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่การวางในพื้นที่จำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ได้ความร่วมมือใดๆ จากฝ่ายกัมพูชาเท่าที่ควร โดยได้มีการประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Regional Mine Action Center หรือ ARMAC) ซึ่งปัจจุบันผู้อำนวยการบริหารคือกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยก็ขอให้กัมพูชาและ ARMAC แสดงความจริงใจในการสนับสนุนภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน เนื่องจากยังพบว่า ที่ผ่านมีทหารกัมพูชายังลักลอบวางทุ่นระเบิดเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุ่นระเบิดนั้นถือเป็นภัยคุกคามที่ไม่ใช่แก่กำลังพลทหาร หรือความมั่นคง แต่มีผลกระทบและเป็นอันตรายต่อพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนทั้งไทยและกัมพูชา ทั้งนี้แนวทางการทำงานก็จะให้ ARMAC เข้ามาสนับสนุนควบคู่ไปกับการดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) เพื่อร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้มากที่สุด และฟื้นฟูพื้นที่ให้มีความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สำหรับการลาดตระเวนในพื้นที่ต่างๆ ได้รับการประสานจากกองทัพบก กองทัพภาคที่ 2 ว่า เรื่องของการลาดตระเวนอาจจะมีการปรับแผนในการลาดตระเวน และมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มาเสริมเรื่องการตรวจจับทุ่นระเบิดต่างๆ ในพื้นที่ ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น ทางกองทัพมีการปฏิบัติ มีการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ศบ.ทก.ขอย้ำ ภารกิจนี้เป็นการปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน กำลังพลทุกนายรวมถึงการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เรื่องการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่มีการกำหนดว่าจะต้องมีการจัดประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ โดยทางกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้มีการหารือฝ่ายกัมพูชา โดยล่าสุดทาง กปช.จต. แจ้งว่า จะมีการจัดประชุม RBC วันที่ 16 ส.ค. ในพื้นที่จังหวัดตราด ส่วนของกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 อยู่ระหว่างการกำหนดเวลาที่ชัดเจน แต่เท่าที่ทราบคือ ปลายเดือน ส.ค. โดยในการประชุม RBC จะมีการกำหนดข้อเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งต้องขอความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน 

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เรื่องการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงมหาดไทย โดยหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภายใต้ของกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยปัจจุบันช่วยเหลือประชาชนไปแล้วบางส่วน แล้วก็พิจารณาแนวทางการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา ทางกระทรวงมหาดไทยกำลังเร่งดำเนินการสำรวจ และให้การช่วยเหลือ รวมทั้งภารกิจการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้างในพื้นที่จำนวนมาก หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจกำลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ก็ขอให้ประชาชนนั้นมั่นใจว่า เราจะช่วยเหลือประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เรื่องของการขอรับบริจาคลวดหนามให้กับหน่วยงานในพื้นที่ รัฐบาลก็กำลังเร่งรัดดำเนินการในการใช้งบประมาณส่วนกลาง ในการจัดหาลวดหนามอย่างเร่งด่วน ขอให้ประชาชนมั่นใจในเรื่องของการดำเนินการกล่าวว่าเป็นการสนับสนุนภารกิจกองทัพอย่างเต็มความสามารถ โดยรัฐบาลพยามเร่งรัดเรื่องการดึงงบประมาณส่วนกลางมาใช้ ซึ่งปัจจุบันกองทัพรวบรวมความต้องการในการจัดหายุทธโธปกรณ์และอุปกรณ์ เพื่อทดแทนและเสริมขีดความสามารถ โดยกระทรวงกลาโหมจะเป็นผู้รับผิดชอบในการเร่งรัด รวบรวมความต้องการของกองทัพเพื่อดำเนินการจัดหายุทโธปกรณ์ อำนวยความสะดวกอุปกรณ์ต่างๆ ให้กองทัพโดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ต่อไปอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณธารน้ำใจจากพี่น้องประชาชนทุกๆ คนที่รวมไทยใจเป็นหนึ่งในการช่วยจัดหาลวดหนามในช่วงเวลาที่เร่งด่วน นับว่าเป็นการร่วมกันแสดงออกถึงความรักความสามัคคี การสนับสนุนการปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมทั้งความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนและกำลังพลในแนวหน้าด้วย

 

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศน์ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในที่ประชุม ศบ.ทก.ได้หารือถึงกรณีทุ่นระเบิด ซึ่งในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่พี่น้องประชาชนจะได้ใช้เวลากับครอบครัวและฉลองวันแม่ แต่น่าเสียใจภายในไว้กี่วันได้เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดถึง 2 ครั้งคือ วันที่ 9 ส.ค. ที่ จ.ศรีสะเกษ และวันที่ 12 ส.ค.ที่ จ.สุรินทร์ ซึ่งนับรวมเป็น 4 ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ในนามของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องและครอบครัวพี่น้องทหารไทยที่รับบาดเจ็บในครั้งนี้ และขอให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ทั้งนี้ เกี่ยวกับ 2 เหตุการณ์ล่าสุดนี้ที่ผ่านมา กต.ได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา เป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นละเมิดพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล คือ อนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน 

 

นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากนี้ กต.ได้มีหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาต่อกรณีทั้งสองด้วยแล้ว เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว สำหรับนายเวทีระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้มีหนังสือประท้วงถึงประธานที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่องถึงการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญาออตตาวา ขณะที่เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก กำลังมีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อประท้วงอีกครั้ง และเพื่อติดตามเรื่องที่ไทยได้เรียกร้องขอรับความชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชาไปแล้วตามข้อ 8 วรรคสองของอนุสัญญาออตตาวา และกำลังรอคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาผ่านเลขาธิการยูเอ็นต่อไป พร้อมกันนี้ ไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับกัมพูชาเป็นจำนวนมากหลายปี พิจารณาทบทวนความช่วยเหลือต่างๆ โดยคำนึงถึงการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง

 

นางมาระตี กล่าวว่า ทั้งนี้ กต.ได้ทำการชี้แจงให้ประชาคมโลกรับทราบถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และจะชี้แจงต่อไป โดยวันที่ 15 ส.ค. ทาง กต.จะเชิญรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เข้านับฟังการบรรยายการสรุปเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย โดยเหตุการณ์ 2 ครั้งที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้สะท้อนถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาและขัดต่อมาตรการหยุดยิงทั้งสองฝ่ายเพิ่งได้ตกลงกันไว้ในการประชุมจีบีซี เมื่อวัน 7 ส.ค. ที่ประเทศมาเลเซีย ในกรอบนี้ฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นตามมติของกรอบจีบีซีดังกล่าวแล้วเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ด้วย และฝ่ายไทยจะนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวลงพื้นที่เร็ว ๆ นี้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า กับระเบิดในพื้นที่ที่พบเจอ ไม่ได้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวอ้างมาโดยตลอด 

 

“ในฐานะประเทศที่มีความรับผิดชอบและยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการการหยุดยิง ไทยต้องการให้พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองฝ่าย ไทยจึงเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนอย่างจริงใจและจริงจังตามที่ฝ่ายไทยได้เรียกร้องมาโดยตลอด ทั้งนี้ ในเวลา 16.00 น. วันเดียวกัน ทางโฆษก กต.จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ และเกี่ยวกับการดำเนินการในระยะต่อไป”

 

นางมาระตี กล่าวว่า ศบ.ทก.ได้หารือกันถึงเรื่องการปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ตามที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับถูกปฏิบัติไม่เหมาะสมความรุนแรงและการข่มขู่จากกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศไทย ขอย้ำว่าไทยยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคกับกลุ่มแรงงานทุกสัญชาติมาโดยตลอด โดยคำนึงว่าแรงงานกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ในช่วงเวลานี้ฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานกัมพูชาเป็นพิเศษจากกลุ่มผู้ประสงค์ไม่ประสงค์ดี ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยจะดำรงชีวิตในประเทศไทยอยากได้อย่างปกติ ย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างประชาชน แต่เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลที่กำลังเร่งรัดในการแก้ไขอยู่

 

นางมาระตี กล่าวว่าไทยมุ่งเน้นให้ข้อเท็จจริงทั้งแก่ประชาชนและประชาคมโลก สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาต่อไป จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดตามหลักข้อตกลงจีบีซีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันตอบโต้ และไม่สร้างข้อมูลเท็จ รวมทั้งการไม่เผยแพร่ข่าวปลอม เช่น การควบคุมพื้นที่และกล่าวหาว่าไทยละเมิดอธิปไตยและเงื่อนไขของการหยุดหยิง และตามที่ได้ตกลงในการประชุมจีบีซี ฝ่ายไทยพร้อมร่วมมือร่วมประชุมอาร์บีซีกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้กองกำลังในพื้นที่ได้ให้หารือกันเกี่ยวกับมาตรการหยุดยิงเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อความมั่นคง และชีวิตที่ปกติสุขของพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย