เมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Mana Nimitmongkol" ระบุว่า เสียดายโอกาสประเทศไทย

ทำไมประชาชนจึงไม่เชื่อว่ารัฐบาลตั้งใจทำดีเพื่อบ้านเมือง แม้พยายามอธิบายว่าต้องการผลักดันโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น กาสิโน แจกเงินดิจิทัล โยกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท หรือล่าสุดการจัดเทศกาลดนตรี สังคมก็ยังตั้งข้อสงสัยว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงหรือหวังผลการเมืองหรือไม่ 

วิกฤตนี้เกิดเพราะประเทศของเราเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสนใจจะปราบปราม และคนไทยก็เจอนักการเมืองที่พร้อมจะโกงหรือหลับตาข้างหนึ่งให้พวกพ้องมามากแล้ว
อะไรทำให้มองว่ารัฐบาลไม่สนใจเรื่องปราบปรามคอร์รัปชัน?

1. รัฐบาลไม่เคยพูด ไม่เคยแถลงแนวทาง นโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจนจับต้องได้เลย  แม้ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 ท่านนายกฯ แถลงต่อสภาฯ ว่าจะผลักดันให้คอร์รัปชันไทยลดน้อยลง จะฉุดคะแนน CPI ของไทยให้ได้ 
“ไม่ต่ำกว่า 56 คะแนน ติดอันดับไม่เกิน 45 ของโลก” ดีกว่าทุกวันนี้ที่ได้เพียง 34 คะแนน อันดับ 107 ของโลก 
ตัวเลขนี้ท่านคงอ้างจากแผนปฏิบัติการของ ป.ป.ช. ที่เขียนมาหลายปีแล้ว ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเราไม่เคยขยับใกล้ความฝันนั้นเลย
2. กลไกต่อต้านคอ์รัปชันในภาครัฐอ่อนแอลงช่วงสองปีที่ผ่านมา 
รัฐบาลปฏิเสธกลไกที่สร้างโดยรัฐบาลก่อนหน้า อย่างเช่น ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) แต่ก็ไม่ริเริ่มกลไกใหม่หรืออธิบายให้เห็นว่าระบบที่มีปัจจุบันมันดีอยู่แล้ว การควบคุมคอร์รัปชันที่ล้มเหลวทุกวันนี้เกิดจากระบบหรือพฤติกรรมอะไร แล้วจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ไม่ต่างกับศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ประจำแต่ละกระทรวงและหน่วยงานรัฐ ที่ไม่ได้รับการเหลียวแล ทำให้การควบคุมคอร์รัปชันในหน่วยงานต่างๆ เป็นเรื่องสับสนหนักขึ้นอีก 
3. สนใจเพียงปัญหาเฉพาะหน้า แล้วโยนภาระไปให้หน่วยงานฯ 
อย่างเช่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ ตึก สตง. ถล่ม, รถทัวร์นักเรียนไฟไหม้, ทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก รัฐบาลพุ่งเป้าสั่งการหน่วยงานต่างๆ ให้เร่งหาตัวคนผิด และเยียวยาผู้เสียหาย 
แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ การสอบสวนให้กระจ่างแล้วรายงานให้ประชาชนเข้าใจว่า ปัญหาเกิดจากอะไร ดำเนินคดีไปถึงไหน เรื่องติดค้างที่ ตำรวจ ป.ป.ช. อัยการ หรือศาล แล้วจะแก้ไขป้องกันในอนาคตอย่างไร ทั้งที่รัฐมีเครื่องมือสื่อสารอยู่มากมาย
4. ละเลยการปฏิรูประบบราชการและกฎหมายตามที่เคยหาเสียง
ผู้นำรัฐบาลเคยสัญญากับประชาชนว่า จะปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกฎหมายและผลักดันโครงการ Regulatory Guillotine ซึ่งคล้องกับรัฐธรรมนูญและเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือต้นตอการเกิดคอร์รัปชัน แต่สองปีผ่านมายังไม่เห็นมารายงานให้ประชาชนรู้ความคืบหน้า ทำอะไรสำเร็จบ้าง จะหยุดหรือเดินหน้าอย่างไร 
5. ข้อเสนอ/ ความเห็น/ ข้อเสนอแนะ จาก ป.ป.ช. ถูกเมินเฉย 
เรื่อง แปะเจี๊ยะ ทุจริตยา นมโรงเรียน ส่วยทางหลวง คอร์รัปชันเชิงนโยบาย สินบนใบอนุญาต ฯลฯ เป็นปัญหาซ้ำซาก ที่ต้องตำหนิทั้ง ป.ป.ช. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 
น่าสนใจว่าตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน ป.ป.ช. ได้ศึกษาและจัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ต่อ ครม. ไปแล้วถึง 125 เรื่อง มีข้อเสนอมาตรการเชิงรุก ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบันอีก 51 เรื่อง รวม 176 เรื่อง 
คำถามคือรัฐบาลได้หยิบยกปัจจัยในข้อเสนอแนะเหล่านี้มาปฏิบัติบ้างหรือไม่ ใช้ได้มากแค่ไหน ใครเป็นตัวถ่วง ควรเพิ่มเติมอย่างไร
6. ไม่เข้าใจกลไกต่อต้านคอร์รัปชันของประเทศ
ตัวอย่างที่วิจารณ์กันมากคือ ครม. มีมติให้ “ป.ป.ท. รับผิดชอบ” การขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเพื่อยกระดับคะแนน CPI ตามที่ “ป.ป.ช. ศึกษาและเสนอมา” ทั้งที่ ป.ป.ช. มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มีทรัพยากรและอำนาจมากกว่า ทำให้เกิดอุปสรรคและจุดอ่อนมากมาย
7. ข้าราชการเกียร์ว่าง 
เมื่อข้าราชการเห็นว่ารัฐบาลไม่ชัดเจนเรื่องต่อต้านคอร์รัปชัน ตามที่ได้อธิบายข้างต้น เพื่อให้เห็นภาพขอยกตัวอย่าง กรณีคณะกรรมการขับเคลื่อนการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัด ที่ต้องมีการประชุมทุกไตรมาส โดยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน 
แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะมอบหมายให้รองผู้ว่าฯ ทำหน้าที่แทน ผลที่ตามมาคือหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดพากันมอบหมายคนของตนมาแทนเช่นกัน ทำให้การประชุมแต่ละครั้งแทบไร้ค่าไร้ผลงาน 
บทสรุป
หากรัฐบาลจะรู้หน้าที่แล้วหันมาเป็น “ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน” เริ่มด้วยการลงมือทันทีในเรื่องไม่ยาก ไม่ต้องลงทุนมากคือ เปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ไทยเป็นรัฐโปร่งใส (Open Government) ให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบและป้องกันการคอร์รัปชันได้ดีขึ้น 
ประกาศเจตจำนงปราบโกงให้เข้มแข็ง กำหนดให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็น “วาระแห่งชาติ” จับมือกับภาคประชาชน ส่งเสริมองค์อิสระตามรัฐธรรมนูญให้มีอิสระในการทำหน้าที่และยึดโยงกับประชาชน เชื่อว่าการยอมรับและไว้วางใจของประชาชนจะกลับมา นโยบายใดๆ ของรัฐบาลจะได้รับการสนับสนุนให้ลุล่วง 
มานะ นิมิตรมงคล 
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 
13 สิงหาคม 2568