ชายแดนไทยเสียงบึ้มดังสนั่น! “สิบเอก” เหยียบกับระเบิด ระหว่างลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมสูญเสียขา 1 นาย “ทบ.”ฮึ่ม! เตรียมใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเอง หลัง“กัมพูชา”ละเมิดหยุดยิง-วางทุ่นระเบิด โจมตีทหารไทย สอดรับ ไม่รับข้อเสนอเก็บกู้ “เวทีจีบีซี” ส่วน “ทอ.” แจง 5 วัน “F-16” บินสู้ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา โชว์แสนยานุภาพ เล็งเป้าหมาย-ข่มขวัญข้าศึก แม่นยำ ย้ำ การตอบโต้ยึดหลักสากล-กฎบัตรสหประชาชาติ
เมื่อเวลา 07.00 น. เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรม การศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 11 ส.ค.68 จนถึงเช้าวันนี้(วันที่ 12 ส.ค.68)เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีเหตุปะทะหรือความรุนแรงเกิด ขึ้น ทั้งนี้กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตน โดยยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุม GBC ที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด และมุ่งมั่นรักษาความสงบเป็นสำคัญ ขณะเดียวกัน ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพ ทั้ง 4 จังหวัด ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเรียบร้อยแล้ว แต่หากประชาชนพบพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยหรือพบวัตถุต้องสงสัย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมายเลข 191 เพื่อประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าดำเนินการ
“ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อรักษาความสงบและอธิปไตยของไทย พร้อมดูแลและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเร่งฟื้นฟูพื้นที่ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้กลับมาเดินหน้าต่อได้เหมือนเดิม”
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพลฯ ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว
เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การใช้อาวุธโดยฝั่งกัมพูชายังคงมีอยู่ตลอดเวลาในช่วงมีข้อตกลงหยุดยิง
ยอมรับว่าพฤติกรรมและการกระทำลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในมาตรการหยุดยิงอย่างแน่นอน รวมถึงเป็นท่าทีที่ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการจะคุกคามฝ่ายไทย ด้วยการใช้อาวุธทางทหารในรูปแบบซ้อนเร้นไม่เปิดเผย ทำให้เชื่อได้ว่ากัมพูชายังคงดำรงความมุ่งหมายที่จะทำร้ายฝ่ายไทยด้วยรูปแบบลอบทำร้ายอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า ณ ช่วงเวลานี้จะอยู่ในช่วงการตกลงที่จะหยุดยิง ซึ่งต้องไม่มีการใช้อาวุธต่อกันในทุกรูปแบบ
นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นยังสอดรับกันอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะจากการที่กัมพูชาไม่ยอมตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทย ในเรื่องของทุ่นระเบิดจากการประชุม GBC ในครั้งที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเรื่องทุ่นระเบิดนี้น่าจะมีการวางแผนใช้กันมาอย่างเป็นระบบเพื่อเจตนานำมาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทย
ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของทหารกัมพูชา
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 09.10 น. กองทัพบกได้รับรายงานว่า หน่วยทหารพรานร้อย.ทพ.2610 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย ขณะนี้ได้ลำเลียงส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาแล้ว
เบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดบริเวณพิกัด R51 โดยผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือดเอบี ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำและกำลังพลที่บาดเจ็บมีสาเหตุมาจากการเหยียบกับระเบิด สำหรับความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป
ขณะที่ เพจกองทัพอากาศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "F-16 to you!! / รักสงบF-16 จบให้! แม้จะประจำการในกองทัพอากาศไทยมากว่า 37 ปี เครื่องบินรบแบบ F-16 A/B หรือ บข.19 นามเรียกขานตามแบบของกองทัพอากาศ ยังคงเป็นกำลังหลักในการปฏิบัติภารกิจคุ้มครองน่านฟ้าในปัจจุบัน ในฝูงบินรบหลัก คือ ฝูงบิน103 และฝูงบิน 403
ตลอดเวลาที่ผ่านเครื่องบินรบแบบ F-16 A/B ได้ปฏิบัติภารกิจการป้องปราม สกัดกั้นและภารกิจพิเศษมาโดยตลอด และในความขัดแย้งด้านพรมแดนกับประเทศกัมพูชา ที่เกิดขึ้นกินเวลา 5วัน การรบในครั้งนี้ได้เป็นเวทีให้ F-16 A/B ได้แสดงแสนยานุภาพ ทั้งการครองอากาศ และการโจมตีสนับสนุนการรบภาคพื้นดิน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างจุดเปลี่ยนทางการรบด้วยการทำลายเป้าหมายทางการทหาร ได้อย่างหนักหน่วง และแม่นยำ สามารถทำลายขวัญและกำลังใจของข้าศึกได้อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยวิสัยทัศน์ในการจัดหาระบบอาวุธที่มีความทันสมัย และทำการปรับปรุงตามระยะห้วงเวลา พร้อมกับการฝึกฝนให้กำลังพลและนักบินมีความพร้อมในการปฏิบัติงานการรบทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง คือปัจจัยหลักของการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการยุทธบดินทร์ ที่สามารถปกป้องอธิปไตยของประเทศ ได้อย่างรุนแรงและเฉียบขาด ทำให้ชื่อของ F-16 ที่คนไทยได้รู้จัก และร่วมเป็นประจักษ์พยานในสมรรถนะและความสำเร็จของเครื่องบินรบแบบนี้ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่ากองทัพอากาศไทยมีขีดความสามารถในการรบได้อย่างเต็มรูปแบบ และ พร้อมเผชิญหน้ากับภัยคุกคามรูปแบบต่างๆด้วยความเท่าทันในเทคโนโลยีการรบทางทางอากาศยุคใหม่ ในฐานะ The Unbeatable Air Force
กองทัพอากาศขอยืนยันว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ยึดถือการตอบโต้ตามหลักสากลที่ได้สัดส่วน คำนึงถึงมนุษยธรรม ตามกฎบัตรสหประชาชาติมาตราที่ 51 ในการป้องกันตนเอง"
ขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แจ้งว่า ตามที่มีการเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ผอ.ศบ.ทก.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนบิดเบือน ไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับความเป็นจริง พร้อมการตีความโดยสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล อันสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์ของถ้อยแถลงต่อสาธารณชนในวงกว้าง โดยอาจนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งกันเองของชนในชาติ และกระทบต่อเสถียรภาพในการบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในภาพรวมได้นั้น จึงขอทำความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม ดังนี้ 1.พล.อ.ณัฐพลยึดมั่นในแนวทางการคลี่คลายปัญหาความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยสันติวิธี ด้วยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด พร้อมทั้งยึดมั่นในหลักการสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ2.พล.อ.ณัฐพลเน้นย้ำและเรียกร้องความจริงใจจากผู้นำระดับสูงของกัมพูชาผ่านการแถลงข่าว ความว่า
“นับตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน เรื่องการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ดี พบว่าฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดการหยุดยิงหลังเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นที่สุด และตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น แม้ปัจจุบันสถานการณ์ชายแดนมีความสงบ แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเสริมกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่ ยังมีการใช้อากาศยานไร้คนขับเข้ามาสอดแนมในพื้นที่ต่างๆ ของไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ยั่วยุ และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและข่าวเท็จต่างๆ ซึ่งไม่สร้างสรรค์ และไม่ช่วยทำให้เกิดบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาและการฟื้นฟูความไว้วางใจ”
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกันในการประชุม GBC ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการหารือในระดับกระทรวงกลาโหมไทย-กัมพูชา ทำให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงจากกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเพิ่มเติม ตามที่ปรากฏในคำแถลงข่าวต่อมาว่า
" จากการประชุมร่วมกันในครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาระดับนโยบาย (กระทรวงกลาโหม) ได้แสดงให้เห็นความจริงใจต่อมาตรการหยุดยิงที่ได้ตกลงกันไว้ การกระทำที่ละเมิดการหยุดยิงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงเป็นการดำเนินการโดยพลการของหน่วยงาน (ทหารกัมพูชา) ในพื้นที่" ซึ่งไม่มีข้อความใดที่เป็นการตำหนิการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยของหน่วยทหารไทย ตามหลักการสากลในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม อย่างได้สัดส่วน ตามที่ถูกบิดเบือน แต่อย่างใด
พล.ร.ต.สุรสันต์ย้ำว่า ในการแถลงข่าวดังกล่าวเป็นการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศไปสู่ประชาคมโลก บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดย พล.อ.ณัฐพลได้ปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทยและสะท้อนความจริงใจต่อข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายไทยอย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่าฝ่ายไทยจะยึดมั่นในการให้ความร่วมมือและการพูดคุยอย่างสุจริตใจ-จริงใจต่อไป บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติตามเช่นเดียวกันพร้อมทั้งขอความร่วมมือไปยังฝ่ายกัมพูชาใน 2 ประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้ตอบรับ คือ (1) การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ (2) ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างกว้างขวางอีกด้วย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัวและการตีความที่เกินความเป็นจริงว่าการแถลงข่าวครั้งนี้จะเป็นการปกปิดข้อเท็จจริง หรือเป็นการปกป้องผู้นำระดับสูงของกัมพูชา จากการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา (เรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล) และอนุสัญญาเจนีวา (เรื่องการกระทำต่อเป้าหมายพลเรือนและละเมิดหลักมนุษยธรรม) นั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากคำแถลงข่าวนั้นไม่สามารถลบล้างข้อเท็จจริงที่ปรากฏได้ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยก็ได้มีการเก็บรวบรวมหลักฐานในทุกกิจกรรมที่เป็นการละเมิดหลักการสากลอย่างต่อเนื่อง และได้ดำเนินการประท้วง-ส่งคำร้อง-ชี้แจงข้อเท็จจริง ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้แก่ (1) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) (2) ประธานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) รวมทั้งประเทศผู้บริจาค เพื่อสนับสนุนกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ(3) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO)
ตลอดจนการบรรยายสรุปต่อเอกอัครราชทูต หรือผู้แทนจาก 75 ประเทศ 1 องค์กร (สหภาพยุโรป) และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ จาก 16 องค์การ รวมจำนวน 122 คน (เมื่อ 4 สิงหาคม 2568) เป็นต้น