​งานศิลปาชีพ คืองานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา และงานแกะสลัก ซึ่งมีลวดลายเอกลักษณ์แตกต่างกันแต่ละภูมิภาค สืบทอดกันมาจากภูมิปัญญาของชาวบ้านโดยอาศัยเวลาว่างหลังจากว่างเว้นฤดูกาลเพาะปลูกสร้างสรรค์ผลงานซึ่งปรากฏให้เห็นในลักษณะการทอผ้า การจักสาน เย็บปักถักร้อย การทำเครื่องปั้นดินเผา การแกะสลัก งานเหล่านี้หากไม่ได้รับการการต่อยอดขยายผลก็อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา

​ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกลและพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงทำทุกวิธีทางที่จะรักษาศิลปะไว้ให้ลูกหลานไทยได้ภูมิใจ ทรงส่งเสริมพัฒนางานศิลปาชีพมาอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มั่นคงและยั่งยืนโดยไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดในขณะเดียวกันก็เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ อันเป็นที่มาของ “โครงการศิลปาชีพ” ที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งได้แปรเปลี่ยนผลงานหัตถกรรมธรรมดาในวิถีชนบท เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน

พระราชปณิธานที่หยั่งลึกถึงรากฐานของแผ่นดินงานหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยเฉพาะผ้าไหม หรือผ้าทอชนิดต่าง ๆ ที่ชาวบ้านผลิตใช้ในชีวิตประจำวันล้วนแฝงไว้ด้วยความงดงามบ่งบอกเอกลักษณ์ท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน เมื่อได้รับการส่งเสริมอย่างถูกทางไม่เพียงเป็นการรักษาศิลปะพื้นถิ่นและประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมให้คงอยู่ แต่ยังเป็น “อาชีพเสริม” ที่กลายเป็น “อาชีพหลัก” ได้ในหลายครัวเรือนทั่วประเทศในปัจจุบัน

ดังเช่นที่บ้านห้วยต้าใต้ ชุมชนเล็ก ๆ กลางหุบเขาในจังหวัดอุตรดิตถ์ เคยเป็นพื้นที่ห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก และถูกจำกัดด้วยทรัพยากร แต่ด้วยการสนับสนุนจากโครงการศิลปาชีพ ปัจจุบันชาวบ้านได้รวมตัวกันตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนผ้าทอมือ สร้างผลงานอันมีเอกลักษณ์ของชุมชน “ผ้าทอลายลูกแก้ว” ซึ่งได้รับพระราชทานลายจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นางปภาวรินท์ อภิยะ ประธานวิสาหกิจชุมชนผ้าทอมือบ้านห้วยต้าใต้ หมู่ที่ 4 ตำบลนางพญา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เผยว่า “ วันนี้ชุมชนมีรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 100,000 บาทต่อคน ผ้าที่เคยทอใช้เอง ได้นำมาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าทันสมัย เช่น ผ้าพันคอ ผ้าตีนจก ผ้าผืนตัดชุดเดรส ส่งออกวางจำหน่ายได้ทั่วประเทศ และลูกหลานก็ได้เห็นคุณค่าของงานฝีมือท้องถิ่น”

ไม่เพียงผ้าทอเท่านั้น นายบุญสืบ สิงเต ราษฎรผู้วาดภาพสีน้ำมันห้วยต้า ตำบลนางพญา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้ได้รับการฝึกอบรมวาดภาพสีน้ำมันจากศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ปัจจุบันสร้างผลงานสีน้ำมันแนวธรรมชาติที่ขายได้ในราคาภาพละ 2,000 – 7,000 บาท กลายเป็นอาชีพเสริมที่เกื้อหนุนในช่วงว่างเว้นจากการทำนา

 

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพบ้านห้วยต้า หมู่ที่ 4 ตำบลนางพญา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จัดตั้งตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อปี 2537 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรที่เสียสละพื้นที่ในการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ โดยส่งเสริมฝึกอบรมอาชีพ ทั้งทอผ้า แกะสลักไม้ วาดภาพและจักสาน เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งนอกเหนือจากอาชีพหลักคือ ทำนา ทำสวน และทำไร่ พร้อมทั้งให้จัดตั้ง “ธนาคารข้าว” เพื่อให้ราษฎรยืมข้าวไปบริโภคในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก แล้วส่งคืนหลังการเก็บเกี่ยว ทำให้ราษฎรมีข้าวกินโดยไม่ต้องซื้อ

หม่อนไหม เส้นใยแห่งความยั่งยืนที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร อีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้สำคัญในการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแบบครบวงจร นายศุภกิจ จันทรวิทย์ ผู้อํานวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสกลนคร กรมหม่อนไหม ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดสกลนคร เล่าถึงกิจกรรมแปรรูปเส้นไหมอย่างสร้างสรรค์ เช่น การย้อมคราม การฟอกสีธรรมชาติ การทอผ้าด้วยเทคนิคทับสี ทำให้ราษฎรสามารถผลิตผ้าไหมย้อมครามที่งดงาม มีมูลค่าเพิ่ม และสามารถขยายผลสู่การสร้างรายได้ในชุมชน

“มีโครงการฝึกอบรมเพื่อขยายผลไปสู่เกษตรกร  เราสอนเทคนิคทั้งการเลี้ยงไหมวัยอ่อน เทคนิคการทับสีบนผ้าไหม  จนถึงการย้อมครามผสมครั่งให้ได้ผ้าสีม่วง ทั้งหมดเป็นการสืบทอดองค์ความรู้ที่จับต้องได้จริง และทำเงินได้จริง” นายศุภกิจ จันทรวิทย์ กล่าว

ปัจจุบันมีศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง มีผลงานและผลิตภัณฑ์อันวิจิตรบรรจงที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมสู่สายตานานาประเทศ ซึ่งแสดงถึงผลสำเร็จของพระราชดำริที่หยั่งรากลึกในใจคนไทย ไม่เพียงเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ แต่คือการสร้างชีวิตใหม่ ให้ชาวนา ชาวไร่ ได้ลืมตาอ้าปาก ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ และอยู่ในถิ่นฐานของตนด้วยความภาคภูมิใจนี่คือ “ศิลปาชีพ” อันงดงาม ที่มิใช่เพียงงานศิลป์จากฝีมือ แต่คือศิลป์แห่งชีวิตที่ร้อยเรียงด้วยหัวใจและพระเมตตาแห่งแผ่นดิน