วันที่ 9 ส.ค.68 จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อ 8 ส.ค. 2568 โดบระบุว่า...

เชื่อกัมพูชาพลิ้วหนีข้อตกลง จีบีซี คาดคำสัญญาไร้ความหมาย ส่อทำไทยเสียหายซ้ำซาก วอน ปชช. กลับบ้านถ้าใช้ชีวิตประมาทอาจสุ่มเสี่ยงภัย ย้ำ“อุ๊งอิ๊ง” ยังเป็นนายกฯ คนไทยรับไม่ไหว กระตุ้นอารมณ์สุดทน ออกมาลงถนนมากมาย

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อ 8 ส.ค. 2568 โดยคาดว่า การเจรจา จีบีซี (GBC) ระดับรัฐมนตรีกลาโหมระหว่างไทย-กัมพูชาจะสร้างความเสียหายให้ไทยอีก คาดกัมพูชาละเมิดข้อตกลงตามเดิม

“ถ้าคำสัญญาไม่รักษาไว้แล้วย่อมไม่มีความหมายใดๆ และการละเมิด ซึ่งเกิดความเสียหายมีมาตั้งแต่นายภูมิธรรม เวชยชัย (รักษาการนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) ประชุมหยุดยิงไม่มีเงื่อนไขกับฮุนมาแนต นายกฯ กัมพูชาเมื่อ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย แล้ว”

อีกทั้งกล่าวว่า การทำสงครามในโลกนั้น หากยังไม่รู้แพ้-ชนะกันแล้ว ในทางปฎิบัติจะเจรจายุติกันได้ยาก เพราะสงครามมีบาดแผลที่นักการเมืองคิดกันง่ายๆ ไม่เข้าใจความรู้สึก กระทั่งสั่งให้ยุติการรบที่ยุทธภูมิปราสาทตาควาย ดังนั้น ใน 11 สมรภูมิไทยชนะศึก 10 แห่ง แต่มาเสียทีกัมพูชา 1 แห่ง คือ สมรภูมิปราสาทตาควาย ซึ่งยึดไม่ได้เบ็ดเสร็จ

"การเจรจาระดับนายกฯ ไทย-กัมพูชา เมื่อ 28 ก.ค. นั้น ยังไม่ได้รับการปฏิบัติ แล้วข้อตกลงประชุม จีบีซี ระดับ รมว.กลาโหม จะได้รับการปฏิบัติเหรอ สิ่งสำคัญรัฐบาลไทยยินดีกับความสำเร็จในการเจรจา ยิ่งทำให้ทหารแนวหน้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบากมากขึ้น"

สิ่งสำคัญ หากประชาชนออกจากศูนย์พักพิงกลับเข้าพื้นที่บ้านตัวเองแล้ว คงไม่แตกต่างจากเป็นตัวประกันเข้าไปอีก เพราะที่ผ่านมาการสู้รบกัน กัมพูชาไม่เลือกโจมตีเฉพาะพื้นที่ทหารเท่านั้น แต่ยิงใส่โรงเรียน ปั้มน้ำมัน บ้านเรือนประชาชน ดังนั้น จึงขอประชาชนอย่าประมาทกลับบ้านไปรับความเสี่ยงจากการสู้รบ

นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่จบกันง่ายๆ ขอนักการเมืองและรัฐบาลอย่ามองแบบโลกสวย ซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง อีกอย่างต้องไม่ลืมว่า แหล่งพลังงานและฐานทัพทหารคือหัวใจของมหาอำนาจ ดังนั้น สงครามระหว่างประเทศย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

สำหรับไทย-กัมพูชา ปัญหาการปักปันเขตแดนทั้งทางบกและทะเลยังไม่เป็นที่ยอมรับทั้งสองประเทศ แล้วยังมีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่เป็นผลประโยชน์พลังงาน ถ้าแก้ปัญหาด้วยการเจรจา MOU 43 และ MOU 44 ตกลงกันไม่ได้ ย่อมสุ่มเสี่ยงเกิดการสู้รบตามมาอีก ดังนั้น จึงเป็นสถานการณ์ที่ประมาทกันไม่ได้เลย

ส่วนนายภูมิธรรม จะฟ้องสมเด็จฮุนเซน ด้วยกฎหมายไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เลอะเทอะที่สุด ถ้าคิดกลับกัน กัมพูชาก็สามารถฟ้องไทยตามกฎหมายกัมพูชาได้เช่นกัน จึงเป็นการแก้ปัญหาแบบเสียเวลา และกระทำไปเพื่ออะไรก็ยังไม่ได้อะไรเลย ซึ่งคำพูดเช่นนี้ไม่เป็นคุณกับไทยเลย เพราะดีไม่ดีแล้ว ถ้าฟ้องกันไปมายังจะถูกลากไปถึงคดีใน 3 จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

ดังนั้น สถานการณ์ของไทยต้องคิดมากกว่าภาวะปกติ เพราะรัฐบาลรอวันไป และยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงต้องเป็นแนวทางประชาธิปไตย ถ้ายังเป็นไปตามโครงสร้าง และกลไกการเมืองแบบเดิมแล้ว คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกตามเดิม

อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคเพื่อไทยดันนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ คนที่สาม ขึ้นเป็นนายกฯ แล้ว ปัญหาคงเป็นแบบเดิมเช่นกัน เพราะไม่สามารถเจรจากับกัมพูชาได้ ดังนั้น ไทยต้องออกจากกลไกที่เป็นเผด็จการปลอม และประชาธิปไตยปลอมๆ ซ้ำร้ายยังใช้ทุนการเมืองเดียวกัน จนทำให้บ้านเมืองแก้ไขอะไรไม่ได้

นายจตุพร กล่าวว่า เราเห็นแล้วว่าไทย-กัมพูชาเจรจากันมา 3 ครั้ง กัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเลย หากสถานการณ์เรียบร้อยกันจริงแล้ว ไทยจะตั้งคุณบุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี ขึ้นมาเป็นโฆษกจิตอาสาเพื่อปะทะกับโฆษกกองทัพกัมพูชาทำไม

สิ่งสำคัญ กองทัพภาค 2 ยืนยันว่า กัมพูชายังเพิ่มกำลังพลชายแดน ซึ่งแสดงถึงคำสัญญาไม่เคยมีอยู่จริงกับกัมพูชา จึงกังวลและไม่ประสงค์ให้ประชาชนกลับไปสุ่มเสี่ยงชีวิตในพื้นที่ของตัวเองอีก

"ดังนั้น ขอให้เอาความชัวร์เป็นที่ตั้ง และเรียนไปยังพี่ น้อง ให้อดทน รักษาชีวิตกันเอาไว้ เพราะถ้ากลับไปบ้านแล้ว จะเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 2 ในขณะนี้"

พร้อมทั้งกล่าวถึงการยกเลิก MOU 43 ว่า ความคิดของผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศไทย มีความเห็นไม่ควรยกเลิก ซึ่งเป็นความเห็นแตกต่างจากตน เพราะตนเห็นว่า เมื่อข้อตกลงใดมีการละเมิดและไม่มีสภาพบังคับ ถ้ายังถือไว้ไทยยิ่งเสียเปรียบ

"ดังนั้น หากรัฐบาลยังไม่มีความเห็นใหม่แล้ว ควรเงียบปากกันเอาไว้บ้าง ขออย่าคิดมักง่าย เอาแต่ความสะดวก ถ้าประชาชนหลงเชื่อจะใช้ชีวิตด้วยความประมาท และไทยยังเสียประโยชน์อีก เมื่อบอกว่า กรอบข้อตกลงถูกละเมิดมากว่า 600 ครั้ง แล้วไทยยังจะมารักษากรอบไว้ทำไม การที่เขาละเมิดเพราะเขาไม่ให้ความสำคัญกับกรอบนี้ จึงออกนอกกรอบตลอดเวลา ปัญหาคือ ไทยยังสบายดีหรือเปล่า"

นายจตุพร กล่าวถึงคดีถอดถอนนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ที่อยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาล รธน.ว่า การจะลาออกจากนายกฯ ได้ส่ออาการมาแล้ว ดังนั้น ควรตัดสินก่อนทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อยังอยู่ในไทย เพราะศาลฎีกานักการเมืองจะตัดสินคดีชั้น 14 ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นสิ่งชี้วัดการตัดสินใจนายกฯ อุ๊งอิ๊ง

อย่างไรก็ตาม คงรอให้ศาล รธน.กำหนดวันวินิจฉัยคดีนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ก่อน จึงจะประเมินสถานการณ์กันได้ว่า นายกฯ จะตัดสินใจเช่นไร แต่ที่ชัดเจนคือ นายกฯ ไม่ใช่คนป๊อบปูลาร์ หรือเป็นคนที่ไทยขาดไม่ได้

สิ่งสำคัญ นายกฯ ยิ่งเป็นคนที่สังคมรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้ายังรอดคดีและอยู่เป็นนายกฯ ต่ออีก อารมณ์สะสมของคนจะลงถนนกันมากมาย ส่วนการลาออกจากนายกฯ ก่อนศาล รธน.ตัดสิน หรือไม่รอดคดีแล้ว ถ้าการเมืองยังเป็นแบบเดิมๆ อีก สถานการณ์คงเต็มไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น

ประเทศไทยต้องมาก่อน