นับถอยหลัง! ชะตากรรมนายกฯเด็กผู้กำลังเผชิญหน้ากับคำพิพากษาจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในข้อกล่าวหาเรื่องจริยธรรม กรณีคลิปเสียงสนทนากับเฒ่าสารพัดพิษจากต่างแดน ท่ามกลางไฟขัดแย้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียด ที่ฉุดเรตติงรัฐบาลให้ดำดิ่ง
ทว่าจุดยืนนางพญา “แพทองธาร ชินวัตร” ยังไม่ยอมถอยถอดใจลาออกไปอย่างที่มีกระแสกดดันจากกองแช่ง แต่กลับยืนกรานที่ต่อสู้ในนิติสงคราม โดยยืนยันเจตนาบริสุทธิ์และตั้งมั่นที่จะรักษา “อธิปไตยแห่งแผ่นดิน” แม้จะพลาดพลั้งไปสนทนากับ “อังเคิล”
การตัดสินใจส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เหมือนเป็นการส่งสัญญาณ “สู้ต่อไป” ด้วยการรักษา “อำนาจ” ไว้ในมือให้นานที่สุด
ทว่าเสียงกระซิบจากวงในสะท้อนว่า “แนวโน้มน่าจะออกมาเป็นลบเสียส่วนใหญ่” เพราะศาลรัฐธรรมนูญนั้นตัดสินจาก ”พฤติกรรม” มิใช่ “เจตนาซ่อนเร้น” …
ขณะเดียวกัน ฉากทัศน์หากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปล่อยผ่านให้ “แพทองธาร”รอด พวกเขาก็อาจจะต้องเผชิญกับวิกฤตม็อบลงถนนขับไล่ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าผลคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯที่จะเกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่ชะตากรรมของ “แพทองธาร” มิอาจแยกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทั้งสองต่างอยู่ในสภาพที่ “มีข้อจำกัด” ด้วยคดีความของ “ทักษิณ” 2 คดีคือมาตรา 112 และการบังคับโทษนั้นคาดว่าจะมีการชี้ขาดในเดือนสิงหาคม-กันยายน
บรรดานักวิเคราะห์การเมือง ต่างประเมินกันว่า “ผลคำวินิจฉัยเป็นไปในทางลบมากกว่าบวก”. หากคำตัดสินออกมาเช่นนั้น ย่อมหมายถึงการ “เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”!!
ท่ามกลางความผันผวนนี้ มีการคาดการณ์ว่าเจ้าสำนักจันทร์ส่องหล้า เล็งประคองเกมไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แม้จะมี “สัญญาณบางอย่าง” ที่สกัดขัดขวางไม่ให้เกิดการยุบสภาขึ้นในห้วงระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ตาม
แม้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแกนนำหลักของรัฐบาล จะเตรียมแผนสำรองหากเกิดอุบัติเหตุการเมืองกับ “แพทองธาร” ไว้ ด้วยการดันชื่อของ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ มารับช่วงต่อบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน ดันภารกิจผ่านงบประมาณ และเร่งคลอดผลงานเพื่อยุบสภาและเลือกตั้งใหม่
โดยโยนชื่อของ “ชัยเกษม” พร้อมเปิดตัวในวงดินเนอร์สส.พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหยั่งเสียงสนับสนุนจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล แต่หลังจากเกิด “เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เรื่องความชอบธรรมของพรรคเพื่อไทยในสายตาประชาชน ที่บุคคลจากพรรคนี้จะกลับมาปกครอง “ความสัมพันธ์กับแผ่นดินเพื่อนบ้านจักมิอาจแก้ไขได้”
เนื่องจากถูกกล่าวหาทั้ง “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ที่เคยไปพึ่งใบบุญของ “ฮุนเซน”และคลิปเสียงสนทนานั้นสารตั้งต้นของเหตุปะทะชายแดน
แต่เมื่อหันมาสำรวจตรวจแถว “แคนดิเดตนายกฯ”ของพรรคร่วมรัฐบาล ในพรรคที่มีสิทธิเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไล่มาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีชื่อของ “พล. อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มีชื่อ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
ส่วนพรรคฝ่ายค้านนั้น “พรรคประชาชน” เปิดช่องไว้ว่าจะโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯจากพรรคใดก็ได้ เพียงต้องผลักดันตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนคือแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภา ทำให้ชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตนายกฯจากพรรคภูมิใจไทยยังอยู่ในข่ายที่มีโอกาสช่วงชิงบัลลังก์นายกฯ
กระนั้น ดุจดั่งก้อนหินเล็กๆ ที่ถูกโยนลงบ่อน้ำ แต่กลับสร้างคลื่นกระเพื่อมไปทั่ว หลังจาก “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาฯ ผู้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพ้นตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิทางการเมืองสิบปี โทษฐาน "เคลื่อนย้ายงบประมาณหลวงลงพื้นที่ส่วนตัว".
แต่คดีนี้มิได้จบลงเพียงเท่านี้. "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" ได้ชี้ให้เห็นถึง "กองงบประมาณมหึมา" กว่าแปดร้อยหกสิบสี่ล้านบาท ที่สภาผู้แทนราษฎรจัดสรรไว้เพื่อ “ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง”.
แม้ฝ่ายค้านจะท้วงติงในความไม่ชอบมาพากล แต่ “คณะรัฐมนตรี” กลับมิยอมถอนเรื่อง และเหล่า สส.322 ราย ก็ยังพร้อมใจโหวตรับหลักการ
“เรืองไกร”ชี้ว่านี่คือ "หลักฐานอันชัดเจน” ว่า คณะรัฐมนตรี และเหล่า ส.ส. ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การใช้งบประมาณที่อาจผิดรัฐธรรมนูญ” . พวกเขาจักต้อง “ร่วมรับผิดชอบ” มิใช่ผลักภาระให้ “พิเชษฐ์” รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว. เรื่องนี้ยังคงเป็น “ประเด็นที่ต้องจับตา” ว่าจะส่งผลกระทบต่อสส.และครม.อย่างไร
ขณะที่นักร้องขาประจำอีกคนคือ “ศรีสุวรรณ จรรยา” ไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. ให้เร่งชี้มูลความผิดนักการเมือง 484 ราย ประกอบด้วย สส. 309 และ สว. 175 ราย และ ครม. ชุดเศรษฐาและแพทองธารโยกงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท จากการชำระหนี้ธนาคารรัฐ ไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
หากมาตรา 144 แผลงฤทธิ์ในเวลาอันรวดเร็ว ผลพวงก็จะกระทบต่อบรรดาสส.และครม. ตกทะเล รวมทั้งบรรดาแคนดิเดตนายกฯจากพรรคการเมืองต่างๆ เว้นไว้แต่เพียง “พล.อ.ประยุทธ์”
บรรยากาศแวดล้อมต่างๆ เหมือนจะผลักการเมืองไทยให้เข้าสู่ “ทางตัน” หรือ “เซตซีโร่” !!
ดังนั้น หากไทม์ไลน์ที่“แพทองธาร” มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว กลับไม่เหลือตัวเลือกใด การเมืองก็เหมือนจะบีบให้ต้องใช้บริการ “นายกฯคนนอก” หรือที่พูดถึงกันมากคือ นายกฯ ม.5 ผู้มาจากมาตรา 5 แห่ง “รัฐธรรมนูญ 2560”
กระนั้น ทั้งสูตรนายกฯคนใน ไม่ว่าจะมาจากแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง หรือสูตรนายกฯคนนอก ต่างปฏิเสธไม่ได้ว่า มีชื่อ ของ “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ทั้งสองทางเลือก น่าคิดและติดตามเป็นอย่างยิ่ง