แม้ไทยและกัมพูชา จะลงนามในข้อตกลงหยุดยิง ที่ มาเลเซีย 7 ส.ค. 2568 และให้มีคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน ติดตามตรวจสอบการปฎิบัติตามข้อตกลงในการหยุดยิง ก็ตาม
การสู้รบชายแดนอาจจะหยุดลงแต่สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงดำเนินต่อไป
ทั้งในด้านเกมการเมืองระหว่างประเทศ การทูต การทูตฝ่ายทหาร และสงครามข่าวสารและการสื่อสาร และที่สำคัญคือสงครามระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชาที่จะต้องเสริมสร้างกำลังรบและชิงความได้เปรียบในเชิงยุทธวิธี และมีการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติต่อกัน ไม่ใช่ในฐานะที่กัมพูชาเพื่อนบ้านที่ดีอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นในฐานะที่เพื่อนบ้านที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทย
ที่จะส่งผลให้การดำเนินการต่างๆของกองทัพไทยและสามเหล่าทัพรวมถึงตำรวจจะต้องพลิกเปลี่ยนโฉมหน้า ในการเปลี่ยนกัมพูชาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศไทย
เพราะแม้ว่าในอนาคตอันใกล้ในระดับรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศจะมีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์และเรียก เอกอัครราชทูตกลับมาประจำการที่สถานทูตในประเทศไทยตามเดิมก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพ ที่ตัดความช่วยเหลือแก่กองทัพกัมพูชาในทุกกรณี โดยเป็นมติในการประชุมสภากลาโหม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งการตัดโควตาที่นั่งการศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกองทัพไทย รวมถึงวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
หลังการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่การปะทะกันที่ช่องบก 28 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยการนัดเจรจาระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชา ก่อนเดินเกมยั่วยุปลุกปั่น และเสริมกำลังทหารพร้อมอาวุธหนักประชิดชายแดน และเปิดเกมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมและ ปราสาทตาควายจังหวัดสุรินทร์ ที่ฝ่ายไทยครอบครองและอยู่ในเขตอธิปไตยไทย
จนที่สุด เกิดความตึงเครียดระหว่างทหารไทยและกัมพูชารวมถึงประชาชนคนไทยและกัมพูชาที่มาท่องเที่ยวปราสาท
ก่อนมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ทหารกัมพูชาวางใหม่ โดยละเมิดอนุสัญญาออตตาวา จนทำให้ทหารไทยเสียขาไป 2 นาย เพราะการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถือว่าเป็นการประกาศสงครามและเริ่มการสู้รบกับทหารไทยแล้ว
กองทัพบกจึงประกาศปิดด่านทุกด่านและปิดปราสาททั้ง 3 ปราสาทไม่ให้ท่องเที่ยว ท่ามกลางเสียง ขู่ของผู้นำกัมพูชาที่ไม่ให้ปิดปราสาทและขู่ว่าจะ เกิดการสู้รบขึ้นแน่นอน
และแล้วฝ่ายกัมพูชาก็เป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อนในการบุกเข้าพื้นที่ปราสาทตาเมือน เพื่อหวังบุกยึดปราสาทตาเมือนธม ที่อยู่ในเขตแดนอธิปไตยไทย จนเกิดการสู้รบกันยาวนาน 5 วัน 24-28 ก.ค.2568 หลังมีการเจรจาหยุดยิง โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกโรงการกดดันให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง โดยนำเรื่องภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ มาบีบ ทั้งๆที่ฝ่ายไทยยังไม่ต้องการหยุดยิง เพราะต้องการจะกำราบฝ่ายกัมพูชา และจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนใหม่ตลอดแนวให้สำเร็จ ตามปฏิบัติการยุทธบดินทร์ที่ต้องยึดพื้นที่และดูแลพื้นที่ต่างๆทั้ง 11 จุด ให้อยู่ในอธิปไตยไทย
แต่ที่สุดรัฐบาลไทยนำโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหม ที่ไปพบปะ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มาเลเซียโดยมี นาย อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เป็นคนกลาง 28 ก.ค.2568
ก่อนนำมาซึ่งการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา GBC 4-7 ส.ค. ที่มาเลเซีย แม้ว่าฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพแต่ฝ่ายไทยขอเปลี่ยนสถานที่จากกรุงพนมเปญมาเป็นกัวลาลัมเปอร์ เพื่อความปลอดภัยของคณะทำงาน เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายังปลุกระดมให้ชาวกัมพูชาโกรธเกลียดคนไทย
โดยในห้วงแรกเป็นการประชุมของคณะเลขานุการ ฯ นำโดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ส่วนฝ่ายทหารมี พลโทณัฐพงษ์ เพรา แก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารเป็นรองเลขานุการฯ ที่ประชุมกันเองก่อน 4-6 พ.ค.. เพื่อหาข้อตกลงใจโดยมีผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐอเมริกา จีนและมาเลเซียร่วมด้วย
ขณะที่ พล.อ.เตีย เซรยฮา รองนายกฯและ รมว.กลาโหมของกัมพูชา เดินทางมาด้วย แต่ไม่ได้ร่วมประชุม แต่ใช้เวลาในการไปพบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซียและผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา ในการพูดคุยถึงปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา
ซึ่งถือเป็นการเดินเกมที่ล้ำหน้าประเทศไทยไปอีกหนึ่งก้าว ในขณะที่คณะฝ่ายไทยนำโดยพล.อ.ณัฐพล เพิ่งเดินทางออกจากไทยมายังมาเลเซียในเช้ามืดวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นวันประชุมที่จะลงนามในข้อตกลงเลย
โดย พล.อ.ณัฐพล พร้อมด้วย ขุนทหาร ที่เป็นคณะกรรมการ GBC พล.อ. สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ. ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ พล.อ.อ. วชิระพล เมืองน้อย เสนาธิการทหารอากาศ พล.ท. ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พล.ท. จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ เจ้ากรมยุทธการทหาร พล.ร.ท. เทพฤทธิ์ ลาภเหลือ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ และ พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2
จะเห็นได้ว่าในขณะนี้ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพไม่ได้มาร่วม แต่ส่งเสนาธิการ 3 เหล่าทัพมาแทน และ พล.อ.ทรงวิทย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการยุทธ์ ในการสู้รบกับกัมพูชาครั้งนี้เดินทางมาด้วยตนเอง ถือเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนเดียว ที่มีส่วนในการบัญชาการรบ ไทย-กัมพูชามาร่วมคณะ ส่วนฝ่ายกัมพูชามากันพร้อมหน้า
แม้จะมีการตกลงหยุดยิงกันก็ตามแต่ฝ่ายไทย โดยแม่ทัพภาค 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ซึ่งไม่ได้เดินทางร่วมคณะไปด้วยแต่มอบพลตรีวีระยุทธ รองแม่ทัพภาค 2 เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 26 ที่คาดหมายว่าจะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 2 คนใหม่ไปแทน พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่าทหารไทยจะไม่ถอยหรือถอนกำลัง เรายึดที่ไหนได้เราก็จะอยู่อยู่ที่นั่น ใน 11 พื้นที่ที่ยึดได้ และรักษาไว้ได้ หลังการสู้รบ
เช่นเดียวกับกับฝ่ายกัมพูชา ที่ยังคงวางกำลังในพื้นที่ที่ยึดได้หลังการสู้รบรวมทั้งปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นปราสาทเดียวที่ฝ่ายไทย ต้องยอมปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชายึดครอง เพื่อรักษาชีวิตกำลังพล เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาได้วางสนามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลรายล้อมไว้เป็นจำนวนมาก
ขณะที่ฝ่ายทหารไทยได้รับคำสั่งให้นำกำลังเข้าไปยึดพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อุบลฯ เมื่อ 4 สิงหาคม 2568 แม้ว่าในช่วงการสู้รบวันสุดท้ายฝ่ายทหารไทยจะไม่สามารถยึดช่องอานม้า ได้ทั้งหมด แต่ฝ่ายไทยอาศัยเหตุผลที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่นี้มายาวนานด้วยการใช้ชาวบ้านกัมพูชาและ ลูกเมียทหารเขมรมาสร้างบ้านสร้างร้านค้ายึดครอง แม้ฝ่ายไทยจะประท้วงตามขั้นตอนแต่ฝ่ายเขมรก็ไม่สนใจยังยกคงยึดครองที่นี่มายาวนานกว่า 20 ปี
จึงถึงเวลาที่ทหารไทยจะต้องจัดระเบียบพื้นที่ตรงนี้ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบหรือการหยุดยิงที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ก็ทำให้ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจมีการแถลงเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยุติการนำกำลังทหารเข้ามายึดตลาดช่องอานม้าและวางลวดหนาม จนทำให้ทหารกัมพูชาต้องเข้ามารื้อลวดหนาม แล้วถ่ายคลิปทำคอนเทนต์เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา ว่าได้ทำแล้วก่อนที่จะถูกทหารพรานไทยไล่ให้ออกจากพื้นที่
หลังการตกลงหยุดยิงใน 13 ข้อ กันที่มาเลเซียแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นการพบปะหารือกันในระดับแม่ทัพภาคไทยและกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการชายแดน ระดับภูมิภาค RBC. เพื่อตกลงกันในเรื่องการวางกำลัง และการอยู่ร่วมกันในพื้นที่ของทหารไทยและกัมพูชา รวมถึงการปรับกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายเพื่อลดความตึงเครียด
โดยจากนี้จะมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน มาร่วมอยู่ด้วยทั้งการประชุมและการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่าฝ่ายใดทำผิดข้อตกลงหรือไม่
ในขณะที่ฝ่ายไทยก็ต้องมีการปรับมาตรการต่างๆในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพทั้งการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์การซ่อมแซม ยุทโธปกรณ์ที่เสียหายจากการสู้รบ และการหามาทดแทนใหม่ ซึ่งพลเอกณัฐพลได้มอบหมายให้พลเอกทรงวิทย์ จัดทำบัญชีรายชื่อความจำเป็นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เพราะจากนี้ไปฝ่ายกัมพูชาเองก็จะยิ่งพัฒนากองทัพของตนเองให้แข็งแกร่ง เพราะจากการสู้รบปี 2554 จนมาครั้งนี้ 2568 จะเห็นได้ว่ากองทัพบกกัมพูชามีความแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้จากจีนมาเสริมแกร่งจนทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสีย
และในอนาคตกัมพูชาก็ต้องเสริมสร้างกำลังรบของทั้งกองทัพเรือและกองทัพอากาศ โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพอากาศ ที่ครั้งนี้กัมพูชายังไม่มีเครื่องบินมาต่อกรกับ F16 และ Gripen ของกองทัพอากาศไทย จึงทำให้การรบด้วยการใช้กำลังทางอากาศทำได้ง่าย แม้จะต้องระมัดระวังจรวดต่อสู้อากาศยานของกัมพูชาที่ได้มาจากจีนก็ตาม แต่ในอนาคต 10-20 ปี กัมพูชาต้องมีเครื่องบินรบที่ทันสมัยมาประจำการแน่นอน
ขณะที่มหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาก็พยายามที่จะแย่งชิงกัมพูชา เพราะถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิรัฐศาสตร์ภูมิภาคนี้ หลังจากที่สหรัฐฯพยายามจะขอมาตั้งฐานทัพในประเทศไทยแต่ไม่สำเร็จ จึงเบนเข็มไปที่กัมพูชา
และนำมาซึ่งการรื้อฟื้นความร่วมมือทางการทหารกัมพูชาและสหรัฐอเมริกา ที่จะกลับมาซ้อมรบร่วมกัน และการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยเฉกเช่นที่เคยสนับสนุนให้กับกองทัพไทย
อีกทั้งผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐฯก็เคยไปเยี่ยมกัมพูชามาแล้วหลายครั้งจนถึงครั้งล่าสุด เมื่อต้นปี 2568 และเพิ่งไปพบกับ พล.อ.เตียเซรย ฮา ที่มาเลเซียก่อนที่จะมีการประชุมหยุดยิงการประชุม GBC กับไทย
เพราะแม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดยาวนานและร่วมรบกันมาในหลายสมรภูมิกับกองทัพไทย แต่ด้วยนโยบายที่สหรัฐอเมริกาต้องเอาผลประโยชน์ของชาติตนเองเป็นหลัก จึงไม่ได้สนใจว่าใครจะรู้สึกอย่างไรกับการที่สหรัฐรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทหารกับกัมพูชา
เพราะในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ หาได้มีมิตรแท้ แต่ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมีศัตรูถาวรอย่างกัมพูชา ดังนั้นรัฐบาลและกองทัพไทยจึงต้องปรับรูปแบบในการทำสงครามการเมืองระหว่างประเทศและการทูตใหม่ในการวางบทบาทกับมหาอำนาจอย่างจีนและมหาอำนาจขั้วอื่นของโลก เพื่อถ่วงดุล และนำมาซึ่งความได้เปรียบในอนาคตหากจะต้องมีการสู้รบกับกัมพูชาอีกครั้ง
เพราะตราบใดที่กัมพูชายังคงที่จะรุกรานและยึดแผ่นดินไทย ประกาศยึดปราสาททั้งสามหลังและพื้นที่ช่องบก และนำไปฟ้องศาลโลกและองค์การสหประชาชาติแล้ว
แม้ว่าวันนี้กัมพูชาจะยึดปราสาทตาควายกลับคืนไปได้หนึ่งที่แล้ว แต่ที่เหลือ กองทัพไทยจะไม่ยอมให้กัมพูชามายึดครองได้
ดังนั้นแม้การหยุดยิงจะมีขึ้น การสู้รบที่ชายแดนจะจบลงแล้ว แต่สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาในด้านต่างๆยังคงดำเนินต่อไป พร้อมๆกับความตึงเครียดที่ชายแดนจากการเผชิญหน้าของกำลังทหารไทยและกัมพูชาพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราศึกเช่นเดิม
ในขณะที่ กองทัพ ไทย กำลังจะเปลี่ยนม้ากลางศึกเพราะการเกษียณของผู้บัญชาการเหล่าทัพพร้อมกัน ทั้ง ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาค2 และผู้บังคับหน่วยในพื้นที่
จึงมีเพียงแค่พล.อ.พนา ที่จะนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกต่อไปเป็นปีที่สองและมีอายุราชการถึง 2570 ที่จะเป็นหลักในการปรับแผนในการ สู้ศึกกัมพูชา ได้อย่างต่อเนื่อง