คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
น่าเสียดายที่ผ่านๆมาแม้ว่าประเทศกัมพูชาจะเคยเป็นเพื่อนบ้านของไทยมาอย่างยาวนานก็ตาม แต่ขณะนี้เกิดการปะทะสู้รบจนนำไปสู่สงคราม นับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2025 และเพิ่งจะยุติลงชั่วคราวไปเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2025
ทั้งนี้สงครามที่เกิดการปะทะกันในครั้งนี้ แรกๆทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรต่างก็ออกมากล่าวว่า อีกฝ่ายคือผู้ที่เริ่มต้นโจมตีก่อน!!!
แต่เมื่อวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2025 เราเพิ่งจะได้รับคำตอบที่น่าเชื่อถือได้จากการศึกษาและจากการวิจัยของ “สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย” (ASPI) ที่ได้สรุปออกมาว่า “ฝ่ายกัมพูชามีการเตรียมการปรับปรุงและสร้างฐานที่มั่นใกล้กับพื้นที่พิพาทมาแล้วนานหลายเดือน”
อนึ่งสถานการณ์พิพาทที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนนั้น สถาบันดังกล่าวยังสรุปอีกว่าเกิดขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเมืองทั้งของไทยและเขมรนั่นเอง
อีกทั้งยังมีการรายงานจากข่าวกรองอีกด้วยว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยกระดับการต่อสู้จนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากถึง 33 ครั้ง และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายไทยแล้วฝ่ายไทยตอบโต้ไปเพียง 14 ครั้งเท่านั้น และสำนักข่าวกรองยังได้นำเสนอต่อไปอีกว่า “กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวมากกว่าฝ่ายไทย”
โดยสถาบันวิจัยยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียยังได้ชี้ต่อไปว่า “ฮุนเซน”ผู้นำของกัมพูชาฉกฉวยโอกาสขณะที่การเมืองของไทยกำลังอ่อนแอไร้เสถียรภาพ
นอกจากนั้นแล้วสถาบันวิจัยฯแห่งนี้ยังได้สรุปต่อไปอีกว่า เสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างฮุนเซนและ “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร”ที่รั่วไหลออกมานั้น เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่จุดกระแสให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
โดย “หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน” ของวันที่ 26 กรกฎาคม 2025 ได้วิเคราะห์ออกมาว่า “ความบาดหมางระหว่างอดีตเพื่อนและอดีตผู้นำทางการเมืองของทั้งสองประเทศมีส่วนให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง”
อย่างไรก็ตามข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานกว่าศตวรรษตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม แต่ในขณะนี้สาเหตุหลักที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งล่าสุด กลับเกิดมาจากความบาดหมางระหว่างผู้นำทางการเมืองผู้ทรงอิทธิพลสองตระกูล อันได้แก่ตระกูลของฮุนเซน ในวัย 72 ปี และ “ทักษิณ ชินวัตร” วัย 76 ปี ที่ทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นเพื่อนสนิทสนมถึงขั้นเป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน โดยทั้งสองตระกูต่างก็ให้การสนับสนุนต่อกัน อาทิ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ชินวัตร เคยไปพักอยู่ที่บ้านของฮุนเซนหลังจากถูกโค่นอำนาจ และทักษิณก็ยังเคยได้รับการแต่งตั้งจากฮุนเซนให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาลของกัมพูชา โดยทักษิณยังเดินทางไปเยือนกัมพูชาบ่อยๆครั้ง แถมฮุนเซนยังถือเป็นแขกต่างชาติคนแรกที่เดินทางมาเยือนทักษิณที่ประเทศไทย ภายหลังจากลี้ภัยออกนอกประเทศไปกว่านานกว่า 15 ปี!!!
หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียนฉบับดังกล่าวยังได้อธิบายอีกว่า ความขัดแย้งระหว่างสองผู้นำนี้ปรากฎชัดเจนขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 สืบเนื่องมาจากฮุนเซนปล่อยการบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 ระหว่างที่เขาพูดคุยกับนายกฯแพทองธาร (ข้อมูลจากหนังสิอพิมพ์เดอะ การ์เดียน เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025 หัวข้อ The bitter feud fuelling the border dispute between Thailand and Cambodia)
ในเทปการสนทนาทางโทรศัพท์ นายกฯแพทองธาร เรียกฮุนเซน ว่า “Uncle” โดยเธอได้กล่าวกับฮุนเซนในการสนทนาว่า หากอังเคิลต้องการอะไร? เธอจะ “จัดการให้” แถมเธอยังออกปากกล่าวตำหนิผู้บัญชาการทหารระดับสูงของไทยอีกด้วย (ข้อมูลจาก “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์” หัวข้อ Thai Premier Faces Calls to resign After Private Chat Is posted Online June 19, 2025)
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2025 ฮุนเซนออกมากล่าวยอมรับว่า ตนเป็นฝ่ายอัดเทปการสนทนากับนายกฯแพทองธาร ที่มีความยาว 17 นาที 6 วินาที โดยการสนทนาครั้งนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง 80 คนร่วมฟังการสนทนาด้วย โดยฮุนเซนอธิบายว่า เหตุผลที่ต้องอัดเทป เนื่องจากต้องการความโปร่งใส เพียงไม่กี่ชั่วโมงภายหลังจากที่ฮุนเซนปล่อยเทปการสนทนาออกมา เขายังได้ออกมากล่าวในทำนองเยาะเย้ยเสริมต่อไปอีกว่า “หากฝ่ายไทยต้องการจะฟังเทปการสนทนาที่เหลืออยู่ เขาก็ยินดีที่จะเปิดให้ฟัง” มีผลทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร เกิดฉุนฉียวออกมากล่าวประณามว่า “ฮุนเซนไม่เป็นมืออาชีพ” (ข้อมูลจาก “หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น” วันที่ 18 มิถุนายน 2025)
เนื่องจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นายกฯแพทองธารอย่างกว้างขวาง จนมีผลทำให้สถานการณ์การเมืองเกิดความปั่นป่วน และการที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เหลือแค่เพียงสามพรรคที่ยังคงร่วมรัฐบาล ทำให้เสียงข้างมากของรัฐบาลเหลือพรรคใหญ่ๆหลายพรรค อาทิ พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคกล้าธรรม พรรคชาติไทยพัฒนา, และ พรรคประชาธิปัตย์เป็นต้น !!!
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าขณะนี้ฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชาจะมีการเจรจายุติสงครามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ แล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าสถานการณ์ความตึงเครียดต่อกันระหว่างไทยและกัมพูชาก็ยังคงดำเนินอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายแดนของไทยยังปรากฏออกมาว่า กัมพูชาใช้โดรนออกมาสอดแนมความเคลื่อนไหวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่าขณะนี้สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย กำลังขยายตัวเป็นสงครามที่ดำเนินด้วยโดรน
ทั้งนี้สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยค่อนข้างสูง และไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อใด?
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นตราบใดก็ตามที่ประเทศไทยยังคงมี “ตระกูลชินวัตร” มีอิทธิพลมีบทบาทในแวดวงการเมืองย่อมจะสร้างความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป และถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประชาชนจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินอนาคตของประเทศ แต่ที่แน่ๆดูเหมือนว่าต่อไปในภายภาคหน้า “โดรน” คงจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในการทำสงครามอีกด้วยละครับ