ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

ประเทศไทยในยุคกึ่งพุทธศตวรรษมีความเปลี่ยนแปลงมากมายและมีผลกระทบต่อ “ความเป็นไทย” เป็นอย่างมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่คนไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง ที่โดดเด่นที่สุดคือ “ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

รัฐบาลในช่วง 2490 – 2500 เป็นรัฐบาลของทหาร หรือถ้ามีการเลือกตั้งเข้ามา (ซึ่งก็เข้ามาเป็นช่วงสั้น ๆ) ก็จะถูกควบคุมโดยกองทัพ ภายใต้การนำของอดีตผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 นั่นก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเข้ามามีอำนาจด้วยการทำรัฐประหารไล่รัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เคยร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงการปกครองในนาม “คณะราษฎร” มาตั้งแต่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มาด้วยกัน โดยสาเหตุที่ทั้งสองคนต้องแตกหักแยกทางกัน ก็เพราะทหารเห็นว่าพระมหากษัตริย์กำลังอยู่ในอันตราย ภายหลังที่เกิดเหตุสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งสังคมไทยส่วนหนึ่งมีข้อสงสัยว่านักการเมืองในกลุ่มของนายปรีดีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในวัย 36 ปี ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของทหารสมัยนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่อีก 2 ปีต่อมา ภายหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2492 ท่านก็ลาออกจากตำแหน่ง สส. เพราะไม่เห็นด้วยกับการที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเพิ่มเงินเดือนให้แก่ สส. จนเป็นข่าวฮือฮาว่ามีชาวบ้านเอาทองคำเปลวไปรอติดตามตัวท่านที่หน้าบ้าน จากนั้นท่านก็บวชถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ ในตอนต้นปี 2493 แล้วมาลาสิกขาในเดือนมิถุนายนปีนั้น เพื่อออกมาทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และด้วยงานเขียนเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ก็ได้สร้าง “ประวัติการณ์” อันเป็น “รากฐาน” ที่เก่าแก่ของสังคมไทย นั่นคือกระแสความจงรักภักดี “อย่างเทิดทูน” ในองค์พระมหากษัตริย์ ที่กลับฟื้นคืนมาอย่างรุนแรง ซึ่งกระแสนี้ได้ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทาง “สำนึกทางการเมือง” ไม่เฉพาะแต่ในหมู่ราษฎรไทย แต่ยังมีผลถึง “ชนชั้นปกครอง” โดยเฉพาะ “ทหาร” นั้นอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ในอีกหลายปีต่อมา เมื่อมีผู้ถามว่านวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินทำให้คนไทย “รักพระมหากษัตริย์” มากขึ้นใช่หรือไม่ ซึ่งท่านก็ตอบว่าคนไทยมีความรักต่อพระมหากษัตริย์อย่างท่วมท้นมาโดยตลอด เหมือนกับกระแสโลหิตที่หลั่งไหลและหล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายของคนไทยทุกคนนั้นเสมอมา เพียงแต่เรื่องสี่แผ่นดินได้เข้าไป “สะกิด” เปิดเผยให้โลหิตนั้นมองเห็นเด่นชัดขึ้น เช่นเดียวกันกับโลหิตในร่างกายของเรา เราก็รู้ว่ามีอยู่ในทุกอวัยวะในร่างกายของเรา โดยที่ไม่ต้องไป “กรีด” ให้ออกมาให้เห็น แต่เมื่อเราเกิดความรู้สึก “รัก” ขึ้นมา โลหิตนั้นก็แผ่ซ่าน “วูบวาบ” ออกไปทั่วร่างกาย ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักในพระมหากษัตริย์ไม่เคยเหือดแห้งไปจากเลือดเนื้อของคนไทย และจะแสดงออกมาเสมอเมื่อมีเรื่องต่าง ๆ ไปกระทบต่อองค์พระมหากษัตริย์ อย่างในกรณีการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 นั้น

หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 นักรัฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งมองว่า เป็นการเปลี่ยนยุคจาก “ยุคคณะราษฎร” ไปเป็น “ยุคทหาร” เพราะทหารได้กำจัดนักการเมืองในฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์นั้นออกไป แล้วทหารก็ทำการ “ปฏิรูปการเมือง” ครั้งใหญ่ ที่สำคัญคือการเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ที่มีบทบัญญัติให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” อันหมายถึงการยกย่องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ทรงดำรงอยู่ในสถานะที่สูงส่ง ทั้งยังมีบทบัญญัติในการปกป้องคุ้มครองแก่พระมหากษัตริย์ไม่ให้มีอันตรายใด ๆ รวมถึงสถานะอื่น ๆ ได้แก่ ทรงเป็นจอมทัพไทย และองค์ศาสนูปถัมภก เพื่อให้เป็น “ศูนย์กลาง”ของความเป็น “ชาติไทย” ในทุก ๆ ด้าน ที่หมายถึง “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ซึ่งนักรัฐศาสตร์เรียกว่า “ลัทธิไตรภักดิ์” หรือ “ภักดี 3”

แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่วางแนวให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการเมืองไทยไปเป็นอย่างมาก แต่พฤติกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นตามมาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก โดยเฉพาะเรื่องการ “แย่งชิงอำนาจ” ซึ่งใน “ยุคทหารครองเมือง” นี้ ก็เป็นทหารนั่นแหละที่แย่งชิงอำนาจกันเอง เริ่มต้นนั้นทหารได้มุ่งกำจัดนักการเมืองในกลุ่มของนายปรีดี พนมยงค์ อย่างโหดเหี้ยม ที่โด่งดังมากก็คือการสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีภาคอีสาน บนถนนพหลโยธินใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคดีฆ่ารัดคอคนสนิทนักการเมืองในกลุ่มนายปรีดีที่อำเภอพระโขนง แล้วนำไปเผาอำพรางที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งในตอนที่เกิดเรื่องก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องหรือตามจับผู้ร้าย เพราะทราบกันว่าผู้เกี่ยวข้องคือผู้มีอำนาจรัฐบาล และเป็นนายทหารคนสำคัญใกล้ชิดกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั่นก็คือ พลโทเผ่า ศรียานนท์ ที่ในยุคนั้นได้โอนจากทหารมาเป็นตำรวจ มียศเป็นพลตำรวจเอก ในตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ เจ้าของสโลแกน”ภายใต้อาทิตย์ดวงนี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม จะเป็นด้วยเวรกรรมของจอมพล ป.หรืออะไรก็ไม่ทราบ ภายใต้ระบบของกองทัพก็ต้องมีการผลัดเปลี่ยนอำนาจไปตามวาระ ซึ่งในกองทัพบกตอนนั้นพอพลโทเผ่าออกไปคุมตำรวจแล้ว ก็เป็นโอกาสให้พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เติบโตขึ้นมาแทน และได้เป็นผู้บัญชาการทหารบกในที่สุด ซึ่งถือกันว่าเป็นตำแหน่งที่ “มีอำนาจมากที่สุด” ในกองทัพ รวมถึงในประเทศไทยอันเป็นประเทศที่มีทหารเป็นใหญ่นั้นด้วย ส่วนตัวจอมพล ป. ก็เหมือน “อาทิตย์อัสดง” กำลังจะตกดินและสิ้นแสงหมดอำนาจ ก็ยิ่งทำให้นายทหารทั้งสองคน(ที่จริงคือหนึ่งนายตำรวจและหนึ่งนายทหาร)ต้องแข่งกันสร้างอิทธิพลขึ้นมา เพื่อครอบครองตำแหน่งอันสูงสุดของประเทศในเวลาต่อไป นั่นก็คือตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ที่จะมีอำนาจคุมทุกองคาพยพของประเทศ

ทหารมีความตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะควบคุมกลไกทางการเมืองทั้งหมดไว้ในมือ แม้ว่าจะให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 ทหารก็มีความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งและได้ครองอำนาจเป็นรัฐบาลต่อไป แต่ก็มีข้อสังเกตว่าทหารเองก็มีความขัดแย้งกัน ในการที่จะแข่งขันเลือกตั้ง โดยพลตำรวจเอกเผ่าได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นก่อน ชื่อพรรคเสรีมนังคศิลา โดยจอมพล ป.เป็นหัวหน้าพรรค และพลตำรวจเอกเผ่าเป็นเลขาธิการ แต่พลเอกสฤษดิ์ก็ตั้งพรรคชาติสังคมขึ้นโดยมีคนอื่นจัดการดูแล ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีรายงานว่ามีการโกงกันอย่างมโหฬาร เรียกว่า “สี่กลโกงเลือกตั้ง” คือ “ผี พลร่ม เวียนเทียน และไพ่ไฟ” (ผี คือเอาชื่อคนตายใส่ในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พลร่ม คือ ส่งทหารไปใช้สิทธิตามคูหาในหน่วยเลือกตั้งโดยไม่มีรายชื่อ เวียนเทียน คือ พวกผีหรือพลร่มเหล่านี้หมุนเวียนไปใช้สิทธิและหย่อนบัตรคนละหลาย ๆ รอบในแต่ละคูหา และไพ่ไฟก็คือเอาบัตรเลือกตั้งที่กาแล้วไปใส่ในหีบตั้งแต่ก่อนที่จะเปิดให้มีการหย่อนบัตรใช้สิทธิ)

สื่อมวลชนสมัยนั้นพาดหัวว่าเป็น “การเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด” แต่ทหารก็ดึงดันที่จัดตั้งรัฐบาลจนเรียบร้อย จึงถูกต่อต้านจากฝ่ายที่แพ้ รวมถึงสาธารณชน อย่างที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีการประท้วงของนิสิต ที่ไปยื่นข้อประท้วงถึงทำเนียบรัฐบาล ในช่วงนี้รัฐบาลก็ให้พลเอกสฤษดิ์ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกไปควบคุมสถานการณ์ ที่จริงคือให้ไปยุติการชุมนุม แต่กลายเป็นว่าพลเอกสฤษดิ์ได้ไปเข้าข้างนิสิตที่มาชุมนุม รวมถึงที่ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ทว่ารัฐบาลไม่ยอม จึงเป็นเหตุให้พลเอกสฤษดิ์ประกาศยึดอำนาจ ในวันที่ 16 กันยายน 2500 จอมพล ป.และพลตำรวจเอกเผ่าต้องหนีออกไปยังต่างประเทศ (และไปเสียชีวิตที่ญี่ปุ่นกับสวิตเซอร์แลนด์โดยไม่ได้กลับประเทศไทย)

พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นี่เองที่เป็นผู้สร้าง “ประวัติศาสตร์หน้าใหม่” ของกองทัพไทยและการเมืองการปกครองของไทย ในการที่นำกองทัพเข้ามาโอบอุ้มคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเข้มแข็ง พร้อมกับส่งเสริมสถานะขององค์พระมหากษัตริย์ให้แข็งแกร่ง นำมาซึ่ง “พระมหากษัตริย์ในยุคใหม่” ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับสังคมไทย ซึ่งในสมัยนั้นก็คือภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ และมีส่วนนำในการพัฒนาประเทศชาติและระบบราชการ โดยเฉพาะในเรื่องปัญหาความยากจนและความเสมอภาคเท่าเทียม

มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า พลเอกสฤษดิ์ที่ต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็น “จอมพล” นั้น เป็นผู้นำทหารที่ถูกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ “วิพากษ์วิจารณ์” น้อยมาก ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความลำเอียง แต่เกิดขึ้นจาก “อุดมการณ์ร่วม” ที่ผู้นำทั้งสองท่านนี้ได้มีอยู่ร่วมกันในยุคนั้น