ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“..สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ..ที่มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้..ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่..ย่อมคือ “การดำรงอยู่อย่าง” คนเป็น ..อันหมายถึงการดำรงอยู่ โดยไม่ตายไปจากความหมายแห่งสถานะของ..ความเป็นมนุษย์...!”
“เรารู้ได้ไม่ยากว่า..ใครเป็นคนตาย..ถ้า..เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามองผู้หญิง..แล้วเขาไม่เห็นอะไรนอกจาก ... คิดสกปรก..
..เมื่อมองต้นไม้..เขาไม่เห็นอะไร นอกจากไม้ซุงและผลกำไร ..ไม่ใช่ความงาม...คนพวกนี้แหละ..คือคนตาย..ที่ยังเดินอยู่ทั่วไป ..”
..ว่ากันว่า...โดยเงื่อนไขแห่งวิถีของธรรมชาติ..ความเข้าใจในสภาวะความเป็นไปของสรรพสิ่ง..และความรัก..เป็นสิ่งเดียวกัน..ซึ่งนั่นหมายถึงว่า..มนุษย์ในวันนี้ทุกคน..ควรจะต้องเริ่มพยายามทำความเข้าใจกับทุกสิ่งอย่างให้แจ้งชัด..ต้องทำความเข้าใจกับ “คนทุกคน” อย่างจริงจังและเต็มใจ ..เพื่อที่จะเสริมส่งให้ “จิตวิญญาณ” ของตนนั้น..เติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้น..!
..แต่ถ้าหาก ..วิถีแห่งความเป็นมนุษย์ โน้มเอียงไปในทางโลภโมโทสันหรือเลวร้าย ..คิดชอบแต่การทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ..มัวแต่แสงหาผลประโยชน์ทางวัตถุ..
ด้วยเหตุนี้..จิตวิญญาณของเราหรือใครๆก็จะหดเล็กลงจนไร้ค่า ..และไม่อาจจะจดจำซึ่งกันและกัน ..ได้อีกต่อๆไป..! ..นี่คือ..ที่มาแห่งสาระเรื่องราวที่งดงามของ “ลิตเติ้ลทรี” (The Education of Little Tree)...ผลงานเขียนของ “ฟอร์เรส คาร์เตอร์” อดีต “คลูคลักแคลน” ในช่วงท้ายแห่งชีวิตของเขาที่ได้สำนึกบาปและกลับใจเป็นคนธรรมดาที่มีเมตตาแล้ว..! ..
..เนื้อในอันหยั่งลึกของ “วรรณกรรมเยาวชน” เล่มนี้..เป็นเรื่องราวของเด็กน้อยอินเดียนแดงเผ่า “เชโรกี” ชนเผ่าเล็กๆ...ในอเมริกา..เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกรุกรานโดย “คนผิวขาว”...เนื่องเพราะ..พวกเขามีความเชื่อที่ว่า.. “ธรรมชาตินั้น มีจิตวิญญาณ และมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์เรา..และยังเป็นผู้ให้กำเนิดตัวตนแห่งเรา..แต่..มนุษย์เราต่างหาก..ที่ไม่เคยจดจำและลืม..พระคุณอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ..ไปเสียสิ้น ..”
ภาพรวมที่ “ฟอร์เรส คาร์เตอร์” (Forest Carter) มุ่งนำเสนอ..นัยสะท้อนแห่งชะตากรรมในสถานที่ด้อยค่า.. “ของชนกลุ่มน้อยในอเมริกา..ซึ่งก็คล้ายเหมือน กับชนกลุ่มน้อยอื่นๆทั่วโลก..ที่จำต้องยอมรับชะตากรรมอันต่ำต้อย ราวกับว่าไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์..คงเหลืออยู่..!”
“ฟอร์เรส คาร์เตอร์” ได้พยายามชี้ให้เห็น..บทบาทอันสูงค่าของความเป็นมนุษย์..ในส่วนที่น่าจะเป็น...ผ่านเรื่องราวของ “ลิตเติ้ลทรี”..ต้นไม้น้อย..ชื่ออันเป็นเสมือนสัญลักษณ์อันล้ำลึกของเผ่าพันธุ์...เด็กน้อยต้องตกเป็นเด็กกำพร้า..เพราะความตายของพ่อและแม่....ปู่ของเขา..ซึ่งแท้จริงเป็นคนขาวที่ได้แต่งงานกับย่า..ซึ่งเป็นชนเผ่า “เชโรกี”..ปู่ได้เรียนรู้ที่จะกลายเป็น “ชนเผ่า” ผู้ตระหนักในคุณค่า..ของธรรมชาติและเคารพชีวิต..
เหตุนี้..ปู่จึงได้ตัดสินใจลงมาจากภูเขา..เพื่อจะมารับเขาจากในเมืองให้ขึ้นไปอยู่ด้วย..และ ณ ที่นั้น “ลิตเติ้ลทรี” ได้พบกับมิตรภาพจากเพื่อนต่างวัยนาม “วิลโลว์ จอห์น” ซึ่งได้สอนให้เขารับรู้ถึงพลังแห่งสายใยของจิตใจ..รู้ในความภาคภูมิของรากเหง้า..แห่งเผ่าพันธุ์ ซึ่งเคารพยกย่องธรรมชาติ...โดยพวกเขาจะไม่ขี่หลังสัตว์และจะไม่ทำร้ายพวกมัน..!
..*จะแบกศพ ของพี่น้องและญาติมิตรสู่หลุมศพโดยไม่ใช้สัตว์จูงลาก..และพวกเขาต่างเชื่อว่า .. “เมื่อไหร่ก็ตาม ขณะที่ร่างกายสูญสลายไป..จิตวิญญาณอันงดงามของพวกเขา..ก็จะล่องลอยไปหลอมรวมกัน ในดินแดนอันสุขสงบ ณ เบื้องบน..”
...ภาพสะท้อนทางด้านจิตวิญญาณ..ที่น่าศรัทธาดังกล่าวนี้..ถูกเปรียบเทียบเข้ากับบรรยากาศความเชื่อแห่งค่านิยม ตลอดจนการกระทำ ที่ไร้จิตใจของเหล่าคนขาวที่คิดคอยแต่จะรุกราน..และเปลี่ยนวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อย..ที่หยั่งลึกอยู่กับธรรมชาติ..ให้กลับกลายเป็นการเข้าสู่สภาวะชีวิตแห่งวัฒนธรรมที่ไร้รากทางด้านจิตใจอันแข็งกระด้าง..
..ระบบการศึกษาของคนขาว..สอนให้ตีค่าชนกลุุ่มน้อยว่า..เป็น “สิ่งที่น่าขยะแขยง..น่ารังเกียจ”..พวกเขาปรารถนาที่จะทำลายและสลายรากเหง้าของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้..ให้กลับกลายเป็น “ทาสทางปัญญา”..
เมื่อต้องไปเข้าโรงเรียนของรัฐตามระบบการศึกษาที่ในเมือง.. “ลิตเติ้ลทรี”..ต้องถูกกร้อนผม..ต้องถูกฉีดด้วยยาฆ่าเชื้อโรค..เหมือนดั่งการฉีดยาฆ่าแมลง..ต้องถูกจับเปลี่ยนชื่อ..ที่มีความหมายล้ำลึกในเชิงสัญลักษณ์..ไปเป็นชื่ออันเป็นสามัญชนแบบวัฒนธรรมของคนขาวที่ไม่ปรารถนาความหมายใดๆ..แต่เเค่เพียง การสื่อสารด้วยสัญชาตญาณอันตื้นเขิน..พวกเขาต่างมองเห็น “จิตวิญญาณ” เป็นเรื่อง “ไร้สาระ” ..ซึ่งมันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้จริง..ถ้ามนุษย์เราไม่ยอมใช้มันในการทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ..ที่อุบัติขึ้นรอบตัวเราอย่างพินิจพิเคราะห์..
“..จิตวิญญาณเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ถ้าเรายังใช้มัน มันก็จะใหญ่ขึ้น..แข็งแรงขึ้น..และ ทางเดียวที่จะเป็นอย่างนี้ได้..ก็โดยใช้..จิตวิญญาณในการทำความเข้าใจเท่านั้น..”
..ด้วยวิธีคิดของคนขาว..ที่เต็มไปด้วยความคิดที่เป็น “อัตถนิยม”...การยึดมั่นถือมั่นชอบหลงเงาตัวเอง..ได้ทำให้พวกเขาจ้องแต่ที่จะประณามและพิพากษาผู้อื่น..ด้วยหลักคิดที่ยึดเอาจาก..ความเชื่อที่ว่า.. “ความถูกต้องในโลกมีเพียงหนึ่งเดียว”
...เหตุนี้..ใครที่เป็นผู้แตกต่าง..ใครที่เป็นฝ่ายตรงข้าม..ก็จะเป็นได้ ..เพียงความโง่งม เลวร้าย และ นอกรีต
..อำนาจของเหล่าคนขาว ...สร้างปรากฏการณ์อันน่าเศร้าขึ้นในโลกนี้..ด้วยมีคนที่ต่ำต้อยในสถานะของการเป็น “ชนกลุ่มน้อย”..คนที่ไม่กล้าต่อสู้..ต้องสยบยอม ต้องยอมจำนน และ ต้องก้มหน้าเดินตามหลัง.. “ผู้ที่ข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบเหล่านั้นไปอย่างเซื่องๆ..ดั่งไร้ซึ่งชีวิต..”
..พวก “อเมริกัน” พยายามเน้นย้ำว่า..สิ่งเหล่านี้..ต้องเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์..เป็นค่านิยมเลวๆที่ถูกหยิบยื่น..อย่างตอนที่ “ลิตเติ้ลทรี” ถูกกระทำเมื่อตอนเเรกเข้าโรงเรียน..หรือการที่เขาต้องถูกเปลี่ยนชื่อ “นามฉายา” ของชนเผ่า..ให้เป็นชื่อที่แสนจะสามัญธรรมดาในภาษาอังกฤษ..โดยทันที..
เหตุการณ์แห่งภาพแสดงตรงส่วนนี้..ทำให้เราได้ตระหนักถึงความเป็น “มนุษย์ที่แท้”..และเน้นย้ำถึงสิ่งที่เราต้องรู้และตระหนักรู้ว่า..มันคือ “กฎเกณฑ์และวัฏจักร” ของความเป็นมนุษย์ต่อมนุษย์..อันอิงแอบอยู่กับ ภาวะแห่งธรรมชาติ และ..การเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่ได้กล่าวถึงไปนั้น..ก็คือสิ่งที่เน้นย้ำต่อเราว่า .. “เราต่างมีชีวิตที่เกิดมาจากจุดเริ่มต้นอันเดียวกัน..”
“ฟอร์เรส คาร์เตอร์” ใช้ลีลาการเขียนเชิงการเล่าเรื่องที่ละเมียดละไม..ผสานเข้ากับการผูกโยงในความสัมพันธ์..ระหว่างตัวละครตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่ง พร้อมกับเเจกแจงนัยความคิด ..และ วิธีคิดที่ซ่อนอยู่ และมีอยู่ในเบื้องลึกด้านใน ...ของชนกลุ่มน้อย..ให้แสดงออกมาในรูปรอยทางจิตวิญญาณ ที่สามารถสั่นไหวการรับรู้ของผู้อ่านได้อย่างลึกซึ้ง..การผูกโยงและเกี่ยวพันในชีวิตของชนเผ่า"เชโรกี" กับความหยั่งลึกในวิถีของธรรมชาติ..ถือเป็นบทสรุปและเป็นความหมายสำคัญที่สามารถส่งผลต่อการมองโลก..ด้วยมุมมองที่แจ่มแจ้ง อบอุ่น ..และ เป็นชีวิตที่ตั้งอยู่เหนือชีวิต..!
..มีใครเคยบอกเราเกี่ยวกับตำนานของตัวตนบ้างไหม? ..นั่นคือคำถาม ..สำคัญที่ย้ำเตือนต่อเราว่า..เราควรเรียนรู้ในชาติพันธุ์ของตัวเองอย่างที่ “ลิตเติ้ลทรี” ได้เรียนรู้ตำนานเผ่าพันธุ์ของตนเองจาก “วิลโลว์ จอห์น”..
การเป็นมนุษย์นั้น...มันเป็นได้..มากกว่าการต้องถูกจำกัดอยู่ใน “กรอบที่กักขัง” ของอะไรสักอย่าง..!"
“กรรณิการ์ พรมเสาร์” นักแปลฝีมือเยี่ยม แปลและถ่ายทอดสาระใจความหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างละเมียดละมัยและประทับใจยิ่ง .!..
..ในโลก .ที่อเมริกายังคงเป็น “ประเทศจักรวรรดินิยม” อย่างไม่เสื่อมคลาย.. “อเมริกันชน"ยังคงยึดมั่นถือมั่นอยู่กับตัวตนแห่งตนอย่างหลงติด..! ..และ ..แม้ “ลิตเติ้ลทรี” จะเป็นเพียงวรรณกรรมเยาวชน ในเล่มที่ไม่ใหญ่นัก ...แต่กับมุมมองและธารสำนึกที่เป็นเนื้อในและแก่นรากของหนังสือเล่มนี้..ผมกลับมองเห็นในเชิงประจักษ์ว่า..ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด ..หนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ..ต่อการ “สร้างรากฐานแห่งชีวิตที่ดีงาม” ..ให้แก่มนุษย์คนหนึ่งๆ...!
ที่จะมีโอกาสได้พบกับการผจญภัยทางศรัทธาในความหมายของจิตวิญญาณ..เพื่อที่ว่า..เมื่อเขาได้เติบโตยิ่งๆขึ้น ทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวของเขาจะได้มีสำนึกที่ดี..สำนึกที่ควรจะเชื่อมั่นว่า..ธรรมชาตินั้นมีจิตวิญญาณ..มีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์เราทุกคน..และ .. ธรรมชาตินั้น..ยังถือเป็นจุดกำเนิดแห่ง..ความเป็นชีวิตของเรา..
..นัยสำนึกดังกล่าวนี้..จะก้าวนำไปสู่ความเข้าใจที่มีคุณค่า..อันไกลโพ้น ..ความเข้าใจในความลี้ลับของจักรวาล ..อันจักมีตัวเราเป็นศูนย์กลาง แห่งศรัทธาต่อไป..นิรันดร์...!
“..ท่านจะนั่งลงคุยกับฉันสักครู่..ได้ไหม..
เพียงนาที ..หรือตามแต่เวลาที่ท่านมี ..
แค่มองหน้า ..เราต่างก็รู้ใจ ..
และ เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน..
...เพื่อว่า ..เมื่อเราจากกันไป เราจะอุ่นใจว่า ..เราเห็นคุณค่าของกันและกัน..และ..
...จิตวิญญาณของเราทั้งสอง..จะจดจำซึ่งกันและกันได้....!”