รัฐบาลเผยสถานการณ์ชายแดน 7 จังหวัดไม่มีเหตุปะทะ ขอประชาชนติดตามสถานการณ์จากช่องทางที่น่าเชื่อถือ ด้าน กองทัพอากาศ พบโดรนบินสำรวจที่ตั้งทหาร-หน่วยงานราชการจำนวนมากในหลายพื้นที่ ชี้ เป็นภัยร้ายแรง ขอ ปชช.ร่วมแจ้งเบาะแส.ขณะที่ มทภ.2 ถก 20 ผู้ว่าฯ อีสาน คุมเข้มกำจัดโดรน พร้อมสั่งจับตาสถานที่สำคัญ จัดชุดลาดตระเวนจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้อยู่ในพื้นที่ เอาผิดก่อการร้าย-ไส้ศึก โทษถึงประหาร ทางด้านดุสิตโพล ชี้ ปมชายแดน ฉุดดัชนีการเมืองไทย คนยี้ผลงานนายกฯ ขณะ วราวุธ-ณัฐพงษ์ เด่นสุด
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้รับรายงานถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ไม่มีรายงานเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในทุกพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ทั้งนี้ หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงของไทย ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเฝ้าระวัง และป้องกันเหตุอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังฝากประชาชน ขอให้ติดตามสถานการณ์ ผ่านช่องทางของหน่วยงานราชการ และไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวเท็จ บิดเบือนด้วย
ด้าน เพจเฟซบุ๊ก "กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force" ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "พี่น้องประชาชน ทุกคนคือพลังสำคัญในการ #ปกป้องอธิปไตยของชาติ กองทัพอากาศ ได้ตรวจพบความพยายามในการใช้โดรนบินสำรวจที่ตั้งทางทหารและหน่วยงานราชการจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่อให้เห็นถึงความพยายามในการสอดแนม เพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและอาจรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบ Anti Drone ในการทำลายเป้าหมายได้ทันที และผู้ที่กระทำผิด จะเข้าข่ายความผิดฐานจารกรรม/สายลับ ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีบทลงโทษรุนแรง ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
ปัจจุบัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชา ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดรนคือภัยคุกคามที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและชีวิตประชาชน กองทัพอากาศจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านที่พบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบินของโดรน รวมทั้งผู้ที่บังคับโดรน ที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายได้แจ้งสายด่วนความมั่นคง 1374 หรือหน่วยงานราชการใกล้เคียง ได้ตลอด 24 ชม.
ส่วน พล.ท.บุญสิน พาดกลางแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดภาคอีสาน ผ่านระบบ VTC เรื่องมาตรการกำจัดโดรน โดยให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัดในฐานะ ผอ.กอ.รมน.จังหวัด ให้แต่ละหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคเอกชน ประชาชน จัดหาเครื่องแอนตี้โดรน ป้องกันจังหวัดของตัวเอง โดยเฉพาะเพ็งเล็งในพื้นที่สำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สนามกีฬา คลังอาวุธ สถานีตำรวจ สถานีขนส่ง และสนามบิน
นอกจากนี้ ให้จัดชุดลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากสามารถควบคุมตัวได้ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ในทุกประเด็น เช่น ก่อการร้าย ไส้ศึก โดยโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต คงต้องไปดูข้อกฎหมาย
ทั้งนี้กำชับ ห้ามปล่อยตัวง่ายๆ ต้องตรวจสอบไปถึงต้นตอ คนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมือที่สาม ที่ได้รับผลกระทบมาจากการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บ่อนการพนัน ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาข่มขู่ ก็เป็นไปได้ทั้งหมด แต่หากพบว่าเป็นคนต่างประเทศ ก็ดำเนินคดี ให้ถึงที่สุดในประเทศไทยก่อน หลังสิ้นสุดคดีให้เนรเทศ พร้อมขึ้นแบล็กลิสต์ ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้อีก
พล.ท.บุญสิน ยังกล่าวถึงสถานการณ์ในภาพรวมชายแดนไทยกัมพูชา หลังทหารกัมพูชามีการเพิ่มเติมกำลังต่อเนื่องว่า กำลังฝ่ายไทยมีความเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านพ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า วันนี้ (3ส.ค.)ได้มีการทำลายวัตถุระเบิดและกระสุนระเบิดด้านที่ยอดภูเขือ ได้แจ้งฝ่ายกัมพูชา และฝ่ายเราทราบแล้ว เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
ส่วน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) กัมพูชา ที่กล่าวหาประเทศไทย เรื่องการคุมตัว 20 ทหารกัมพูชา อาจมีการทรมาน ทำให้บาดเจ็บ และมีอาการทางจิต โดยระบุว่า ไทยขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ปรากฏตามหนังสือจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) กัมพูชาถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หนังสือของ กสม. กัมพูชาดังกล่าวเป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ในการนี้ทางการไทยขอชี้แจงข้อมูลเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
ในเรื่องข้อตกลงหยุดยิง ทั้งไทยและกัมพูชาได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันในการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่เมืองปุตราจายา โดยให้มีการหยุดยิงโดยทันทีมีผลบังคับตั้งแต่เวลา 24.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ของคืนวันที่ 28 ก.ค. 2568 อ่านข่าวต้นฉบับได้
อย่างไรก็ดี ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เมื่อกองกำลังกัมพูชาได้โจมตีไทยด้วยอาวุธปืนขนาดเล็กและระเบิดมือในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ และยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่องต่อไปจนถึงเช้าวันที่ 30 ก.ค. 2568 กัมพูชาล้มเหลวในการปฏิบัติตามพันธกรณีในการเคารพข้อตกลงหยุดยิงโดยสุจริตใจ
การควบคุมตัวทหารกัมพูชาจำนวน 20 นาย เกิดขึ้นในระหว่างการสู้รบที่กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง อันเป็นผลจากการที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง มาตรการดังกล่าวดำเนินไปโดยสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และไม่อาจถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหรือกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
ทหารกัมพูชาทั้ง 20 นายที่อยู่ในการควบคุมตัวของทางการไทย ได้รับการดูแลด้วยความเคารพและเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เชลยศึกกัมพูชา 2 นาย ซึ่งหนึ่งรายได้รับบาดเจ็บ และอีกรายป่วยจิตเวช ได้รับการส่งตัวกลับไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้ว ตามหลักมนุษยธรรมที่ระบุในอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านมนุษยธรรมที่มีมาโดยตลอดของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC)
ทหารกัมพูชาที่บาดเจ็บ 1 รายข้างต้น ได้รับบาดเจ็บที่แขนที่เกิดขึ้นในระหว่างการสู้รบ ไม่ได้เกิดจากการทรมานโดยทางการไทยตามที่ถูกกล่าวหา ทั้งนี้ ทางการไทยได้ทำการตรวจร่างกายและให้การดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่บุคคลทั้งสองรายดังกล่าว กล่าวคือ รายที่ได้รับบาดเจ็บที่แขน และรายที่มีอาการทางจิตจากสู้รบ โดยจัดทำข้อมูลผลการตรวจอย่างเป็นระบบเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
ไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และในโอกาสนี้ได้เชิญผู้แทนจาก ICRC และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights: OHCHR) เข้าเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวด้วยแล้ว
ขณะที่ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,171 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 26-31 กรกฎาคม 2568 โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็นที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละตัวชี้วัดจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ดัชนีการเมืองไทย ได้แค่ 3.86 คะแนน (เดือนมิถุนายน 2568 ได้ 4.13 คะแนน)
ขณะประชาชนให้คะแนน 25 ตัวชี้วัดดัชนีการเมืองไทย พบว่า คะแนนส่วนใหญ่ลดลงจาก 3 เดือนก่อนหน้านี้ อาทิ ผลงานของฝ่ายค้าน สิทธิและเสรีภาพของประชาชน การพัฒนาด้านการศึกษาสำหรับประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ การปฏิบัติและพฤติกรรมของนักการเมือง เสถียรภาพทางการเมือง การแก้ปัญหาความยากจน ผลงานของรัฐบาล โดยผลงานของนายกรัฐมนตรี คะแนนต่ำสุด อยู่ที่ 3.43 คะแนน
ส่วนนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนคิดว่า มีบทบาทโดดเด่นในเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ฝ่ายรัฐบาล อันดับ 1 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. 44.05% รองลงมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกรทรวงมหาดไทย 29.85% และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 26.10% ด้านนักการเมืองฝ่ายค้าน พบว่า อันดับ 1 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน รองลงมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 28.28% และนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน 25.93%
สำหรับผลงานของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่ประชาชนเชื่อมั่น โดยฝ่ายรัฐบาล พบว่า อันดับ 1 ทำหนังสือชี้แจงสหประชาชาติ 42.21% อันดับ 2 ดูแลช่วยเหลือประชาชน 40.51% อันดับ 3 นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ขณะฝ่ายค้าน พบว่า อันดับ 1 ตรวจสอบการดำเนินการของรัฐบาล 40.28% อันดับ 2 ติดตามเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา 30.75% และอันดับ 3 การแก้รัฐธรรมนูญ 28.97%