ต้องยกให้คู่ต่อกรที่ดุเดือดในหลายๆ สมรภูมิ

สำหรับ “จีน” เจ้าของฉายา “พญามังกร” แห่งบูรพาทิศ กับ “สหรัฐอเมริกา” สมญานาม “พญาอินทรี” แห่งโลกตะวันตก

ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิด้านการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ การทหาร การขยายอิทธิพลด้วยวิธีการสารพัด และการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งลาย ล้วนต่างประชันขันแข่งกันอย่างเข้มข้น

ลากยาวมาจนถึงช่วงคริสต์ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศก็สู้ศึกกันบนสังเวียนระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ

รวมไปถึง “ระบบปัญญาประดิษฐ์” หรือ “เอไอ” (AI : Artificial Intelligence) อันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีฟังก์ชันการทำงานได้เหมือนมนุษย์ สามารถเลียนแบบการทำกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การค้นคว้าหาข้อมูล ตลอดจนการวางแผน แก้ไขปัญหาได้แทบจะสารพัด จนสามารถนำมาใช้อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ให้แก่มนุษย์เราได้เป็นอย่างดี

เทคโนโลยีที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ที่ได้เห็นกันจนแทบจะคุ้นชินตา อาทิเช่น หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ อากาศยานไร้คนขับ และจักรกลสนทนาปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันจนติดปากคุ้นหูว่า “แชตจีพีที (ChatGPT)” นั่นเอง เป็นต้น

โดยสมรภูมิของเอไอต่างๆ เหล่านั้น ทั้งจีนและสหรัฐฯ ได้ห้ำหั่นเพื่อชิงความเป็นใหญ่ ความเป็นผู้นำกันอย่างดุเดือด

ดังเช่นการประจันหน้ากันในสังเวียน “จักรกลสนทนาปัญญาประดิษฐ์” ระหว่าง “แชตจีพีที (ChatGPT)” ของทางฝั่งสหรัฐฯ กับ “ดีพซีค (DeepSeek)” ของทางฟากจีน จนสร้างความสั่นสะเทือนในวงการต่างๆ ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะด้านเอไอเท่านั้น ทว่า ยังเขย่าไปถึงตลาดหุ้น ตลาดทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที จนเลื่อนลั่นกันมาแล้ว เมื่อช่วงต้นปีนี้

ภาพตกแต่งเพื่อแสดงการประชันระหว่างดีพซีคของทางฝั่งจีน กับแชตจีพีที ของทางฟากสหรัฐฯ (Photo : AFP)

ล่าสุด การสู้ศึกบนสังเวียน “เอไอ” ซึ่งก็กล่าวกันว่า เป็นอะไรที่ล้ำสมัยกันอยู่แล้ว ก็ได้พัฒนาให้ “ล้ำ” หรือ “เทพ” ไปยิ่งกว่านั้น หากพูดกันภาษาบ้านๆ คือ เหนือกว่า “เอไอ” ที่เราเห็น หรือใช้อยู่ทุกวันนี้ นั่นคือ “ระบบปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” หรือ “เอจีไอ” (AGI : Artificial General Intelligence)

บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ยกให้ “เอจีไอ” นี้ เป็น “ขั้นกว่า” ของ “เอไอ” ที่เราเคยเห็น หรือเคยใช้กันจนคุ้นชิน

หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ระบบเอไอที่วิจัยพัฒนาโดยยูนิทรีโรบอต จนสามารถแสดงประสิทธิภาพต่อยมวยได้ ซึ่งกล่าวขานว่า เป็นการวิจัยพัฒนาเพิ่มไปอีกขั้น เพราะหุ่นยนต์สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ในระดับหนึ่ง  (Photo : AFP)

ถึงขนาดกำหนดให้เป็นก้าวย่างที่สำคัญ เหมือนกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่มนุษย์ได้ค้นพบปฏิกริยานิวเคลียร์ฟิชชัน เมื่อปี 1938 (พ.ศ. 2481) ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอาวุธระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร์ ครั้งแรกของโลกโดยสหรัฐฯ เมื่อปี 1945 (พ.ศ. 2488)

โดย “เอจีไอ” ที่ว่านั้น ก็เป็นการพัฒนาวิจัยเอไอ เพื่อให้มีประสิทธิภาพความสามารถคล้ายมนุษย์มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงปัญญา การคิดประมวลผล การสอนตนเอง โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ซอฟต์แวร์ที่ได้รับการวิจัยพัฒนาขึ้นมานั้น ไม่จำต้องได้รับการฝึกฝน หรือพัฒนามาก่อน แต่ระบบเอจีไอนี้ ก็สามารถที่จะทำงานเองได้ หรือตัดสินใจแก้ปัญหาบางประการของตนเองได้

หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ซึ่งผลิตในจีน สามารถแสดงท่าทางเล่นกับเด็กๆ ได้ (Photo : AFP)

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เป้าหมายของบริษัทผู้พัฒนาบางแห่ง ถึงขั้นจะให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ระดับ “เอจีไอ” นี้ มีศักยภาพด้านความเฉลียวฉลาดเทียบเท่ากับมนุษย์ หรือฉลาดกว่ามนุษย์ได้ก็ยิ่งดี จึงจะเรียกได้ว่า เป็น “เอจีไอ” อย่างแท้จริง

หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ซึ่งผลิตในจีนตัวหนึ่ง ถูกระบุว่า สามารถแสดงอารมณ์ สีหน้าต่างๆ ได้ (Photo : AFP)

โดยแนวคิดนี้ ก่อนหน้านั้น หลายคนบอกว่า มีอยู่ใน “นิยายวิทยาศาสตร์” ทว่า ถึง ณ ชั่วโมงนี้ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ หรือฮิวแมนอยด์ (Humanoid) ที่ได้รับการพัฒนาจนมีความสามารถเป็น “เอจีไอ” แก้ไขปัญหาให้แก่ตัวหุ่นยนต์ได้เอง ก็เช่น “วอลเกอร์ เอส2 (Walker S2)” ของบริษัทยูบีเทค ในจีน ได้วิจัยพัฒนาหุ่นยนต์รุ่นนี้ จนสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ของตัวมันเองได้ หากพบว่าแบตเตอรี่ของใกล้จะหมดพลังงาน แบบไม่ต้องพึ่งพาให้มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ช่วยเปลี่ยนให้ ซึ่งหุ่นยนต์ดังกล่าวได้มีการเผยโฉม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

ทั้งนี้ ด้วยประสิทธิภาพที่ล้ำสมัยของระบบเอจีไอข้างต้น ก็คาดหมายกันว่า จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมแขนงต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นการทหาร ที่จะมีหุ่นยนต์ระบบเอจีไอ เข้าไปในช่วยทหารในภารกิจต่างๆ

ทางด้านการแพทย์ ในการช่วยคุณหมอ หรือพยาบาล มนุษย์ตัวเป็นๆ ในการดูแลและรักษาคนไข้

รวมไปถึงการผลิตงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่นอกจากช่วยทำงาน ก็ยังอาจช่วยตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ ในหน้างาน ร่วมกับมนุษย์

ด้วยประการฉะนี้ ทั้งจีนและสหรัฐฯ จึงมิอาจยืนอยู่นิ่งได้ กับการเปลี่ยนผ่านพัฒนาจากระบบเอไอ สู่ระบบเอจีไอที่ล้ำสมัยไปกว่า

โดยต่างเดินหน้าในยุทธศาสตร์การวิจัยพัฒนาด้านเอจีไอนี้ แบบประชันขันแข่งกันอย่างดุเดือด

อย่างไรก็ดี มีบรรดานักวิเคราะห์ ออกมาแสดงทรรศนะเปรียบเทียบในเชิงได้เปรียบ เสียเปรียบระหว่างสองประเทศคู่แข่งนี้ว่า ดูเหมือน ณ เวลานี้ สหรัฐฯ จะไล่ตามหลังจีน ในเรื่องระบบเอไอ และระบบเอจีไอ นี้อยู่

ทั้งนื้ ก็เป็นผลมาจากทางการจีน ภายใต้การนำของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 (พ.ศ. 2560) พร้อมกับวางเป้าหมายจะเป็นประเทศชั้นนำด้านเอไอ และเอจีไอนี้ให้ได้ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ในขณะที่ทางการสหรัฐฯ เพิ่งเปิดแผนการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง คือ “เอไอ แอคชั่น เดย์ (AI Action Day)” โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ วิจัยพัฒนาด้านเอไอและเอจีไอนี้ ด้วยฝีไม้ลายมือของเอกชน เป็นหลักใหญ่ เช่น โอเพนเอไอที่วิจัยพัฒนาแชตจีพีที เป็นต้น

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อเดินหน้าแผนวิจัยพัฒนาระบบเอไอในประเทศเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับจีน เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นมา (Photo: AFP)

นอกจากนี้ จีนมีความได้เปรียบสหรัฐฯ ในเรื่องการใช้งบประมาณต้นทุนการวิจัยพัฒนาที่ถูกกว่ากันค่อนข้างมาก ทำให้ราคาสินค้าที่มีระบบเอไอออกมาจำหน่ายได้ในราคาที่ถูกกว่ากันเป็นอย่างมาก เช่น หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของยูนิทรีโรบอตของจีน ใช้ระบบเอจีไอที่สามารถจดจำเสียงและภาพ ตลอดจนทำงานบางอย่างในบ้านได้ จำหน่าย ในราคาเพียงตัวละ 5,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น

เหล่านักวิเคราะห์ ยังแสดงทรรศนะด้วยว่า สมรภูมิแข่งขันเดือดในระบเอจีไอนี้ มิใช่เพียงแต่จะสร้างผลกำไรทางธุรกิจให้แก่บริษัทผู้ผลิตเท่านั้น แต่มันยังความหมายถึงไปถึง การแสดงสถานะความมั่นคง การป้องกันประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนอิทธิพลของประเทศที่จะขยายออกไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้ออกไปอีกต่างหากด้วย